วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

อยู่ที่ไหน ในโลกนี้ ก็จ้างเราแปลเอกสารได้

แปล-รับรองเอกสาร ราชการ ส่งต้นฉบับมาทาง อีเอ็มเอสมาที่สำนักงานของเราได้เลย
ไม่สูญหายแน่นอน
แปลเอกสารอื่นๆ ส่งมาทางอีเมล์ได้เลย หรือแฟกซ์ หรืออีเอ็มเอสก็ได้
แปลเสร็จเราส่งงานคืนให้ทางแฟกซ์ เมล์ หรือส่งคืนด้วยอีเอ็มเอสก็ได้
กรณี งานด่วน หรืองานแปลที่ต้องการให้เซ็นรับรองคำแปลจากนักแปล หรืองานรับรองโดย Notarial Services Attorney( 
อัยการบริการรับรองเอกสาร)  จัดส่งทาง EMS
ราคา ค่าจ้าง สามารถตกลง ต่อรองกันได้
สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการของเรา
ท่านสามารถส่งตัวอย่างงานมาที่

englishthai2012@gmail.com
Tel: [66]089-707-2874
หมายเหตุ :  เอกสารของลูกค้าทุกชนิด ทุกแผ่น เป็นความลับอย่างที่สุด
สำนักงาน ไม่นำออกเผยแพร่หรือให้ลูกค้าท่านอื่นๆ รับรู้โดยเด็ดขาด
โดยเฉพาะเอกสารของบริษัท/ห้าง/ร้าน เมื่อสำนักงานฯ แปลเสร็จ ได้ส่งมอบงานให้ลูกค้าแล้ว 

ทางสำนักงานฯ จะทำลายเอกสาร/ไฟล์งาน/ เอกสารแปลนั้นๆ หรือล้างข้อมูลนั้นออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยทันที ดังนั้น ท่านลูกค้า กรุณาเก็บข้อมูลอ้างอิงไว้เอง (กรณีมีงานแปลเพิ่มเติม)

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

รับแปลงานนักศึกษา รับแปลงานนักศึกษาราคาถูก

รับแปลงานนักศึกษา รับแปลงานนักศึกษาราคาถูก รับแปลบทคัดย่อ รับแปลบทความ รับแปลงานวิจัย รับแปลงานนักศึกษา รับแปลไทยเป็นอังกฤษ Hotline: 089-707-2874  Email:englishthai 2012@gmail.com

บริการรับแปลงานนักศึกษาราคาถูก
เนื่องจากปัจจุบันการศึกษาค้นคว้างานวิจัยนั้นกลายเป็นส่วนสำคัญของการเรียนในระดับอุดมศึกษา ทำให้นักศึกษาต้องค้นคว้างานวิจัยต่างประเทศมากขึ้น ดั้งนั้น ENGLISH 2 THAI & VICE VERSAขอมอบบริการรับแปลเอกสารนักศึกษาราคาถูก รับแปลงานนักศึกษา ราคาแปลถูก เพื่อตอบสนองความต้องการในจุดนี้ และแก้ปัญหาในการอ่านงานวิจัยต่างประเทศให้แก่น้องๆทุกคน การบริการรับแปลงานวิจัยของเรานั้นมีจุดเด่นตรงที่ ทีมงานเรามีความเชี่ยวชาญในการแปลเปเปอร์ แปลวารสาร แปลบทความ แปลงานวิจัย ของต่างประเทศ ทุกสาขาวิชา ด้วยความถูกต้องและเนื้อหาครบถ้วน

เอกสารนักศึกษาที่ทางเรารับแปลครอบคลุมถึง
 รับแปลบทความ รับแปลงานวิจัย รับแปลเปเปอร์ รับแปล journal รับแปลงานวิจัยต่างประเทศ
ในปัจจุบันการแข่งขันทางวิชาการเริ่มมีแนวโน้มที่สูงขึ้น ดังนั้นการอ่านงานวิจัยต่างประเทศจึงมีความสำคัญมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในการทำวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาอีกด้วย ดังนั้นทางทีมงาน ENGLISH 2 THAI & VICE VERSA จึงมีบริการรับแปลงานวิจัย รับแปลบทความ ซึ่งรวมถึง แปลงานวิจัยแพทย์ แปลงาน วิจัยพยาบาล แปลงานวิจัยวิศวกรรม แปลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ แปลงานวิจัยสาธารณสุข แปลงานวิจัยชีววิทยา แปลงานวิจัยเคมี แปลงานวิจัยฟิสิกข์ แปลงานวิจัยบัญชี แปลงานวิจัยบริการ แปลงานวิจัยการตลาด แปลงานวิจัยกฏหมาย แปลงานวิจัยรัฐศาสตร์ แปลงานวิจัยสังคมศาสตร์ แปลงานวิจัยมนุษศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมาย

รับแปลวิทยานิพนธ์ รับแปลดุษฏีนิพนธ์ รับแปล thesis รับแปล dissertation
ในบางครั้งนักศึกษาจำเป็นต้องอ่านวิทยานิพนธ์ของต่างประเทศ เพื่อให้เข้าถึงการวิจัยและระบบต่างๆรูปแบบ และการทำงานได้ ดังนั้นทางเราจึงมีบริการเพื่อตอบสนองในจุดนี้ โดยมอบบริการรับแปลวิทยานิพนธ์ รับแปลดุษฏีนิพนธ์ รับแปลThesis รับแปลdissertation เพื่อให้นักศึกษาได้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถพัฒนา ประดิษฐ์ สร้างสรร ชิ้นงานออกมา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และมหาวิทยาลัยได้

รับแปลบทคัดย่อ รับแปลบทนำ รับแปล Abstract
บทคัดย่อเป็นส่วนสำคัญของงานวิจัย ซึ่งจะเป็นส่วนที่ใช้สรุปเนื้อหาความสำคัญและใจความของงานวิจัยทั้งหมด นอกจากนี้ในเล่มวิทยานิพนธ์นั้น นักศึกษาต้องส่งบทคัดย่อฉบับภาษาอังกฤษ ดังนั้นทางเราจึงมีบริการ รับแปลบทคัดย่อ รับแปลบทนำ รับแปลAbstract เพื่อตอบสนองความต้องการในจุดนี้ โดยการแปลของเรานั้น จะแปลด้วยเนื้อหาที่ครบถ้วนและเน้นความถูกต้องเป็นหลัก โดยใช้สำนวน หลักภาษา เนื้อหา คำศัพท์เฉพาะต่างๆที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้มาซึ่งงานที่สมบูรณ์และเนื้อหาที่ดี

รับตรวจแก้ไวยากรณ์ รับ Proofread รับแก้งานภาษาไทย รับแก้งานภาษาอังกฤษ รับตรวจแก้งาน รับตรวจภาษา
นักศึกษาหลายๆท่านที่เรียนมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติ มักประสบกับปัญหาของการส่งการบ้านเป็นภาษาอังกฤษ โดยส่วนใหญ่จะพบว่า เนื้อหาไม่ถูกต้อง หรือไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง ทางเราจึงมีบริการ รับตรวจแก้ไวยากรณ์ รับProofread รับแก้งานภาษาไทย รับแก้งานภาษาอังกฤษ รับตรวจแก้งาน รับตรวจภาษา เพื่อตอบสนองความต้องการ โดยเน้นความถูกต้องเป็นทาง โดยผู้ตรวจแก้นั้นคือชาวต่างชาติเจ้าของภาษาที่มีประวัติทางด้านการศึกษาดี และทำอาชีพสอนหลักภาษา และตรวจแก้งานเป็นประจำ ดังนั้น นักศึกษาจึงมั่นใจได้ว่า เอกสารที่ตรวจแก้โดย ENGLISH 2 THAI & VICE VERSA นั้นมีความถูกต้องอย่างแน่นอนค่ะ

สอบถามข้อมูลบริการรับแปลเอกสารเพิ่มเติมได้ที่
Hotline: 089-707-2874(24 ชั่วโมง)
Email: englishthai2012@gmail.com
Website: http://english2thaiservice.blogspot.com/


วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

Distributive Adjective คืออะไร

Distributive Adjective แปลว่า “คุณศัพท์แบ่งแยกหรือวิภาคคุณศัพท์” หมายถึง คำที่คุณศัพท์ที่ขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่ง ได้แก่ each (แต่ละ), every (ทุกๆ ), either (ไม่อันใดก็อันหนึ่ง), neither (ไม่ทั้งสอง) เช่น

The two men had each a gun.ชาย 2 คนนี้มีปืนคนละกระบอก
Every soldier is punctually in his place.ทหารทุกคนเข้าประจำที่ของตัวตรงเวลาดี
Either side is a narraw lane.ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ
Neither accusation is true.ไม่มีข้อกล่าวหาใดเป็นความจริง
(each, every, either, neither เป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม)

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

ภาษาวัยรุ่นฉบับล่าสุด ฟิน แปลว่าอะไร ?

  "โอ๊ย...ฟินอ่ะ ฟินสุด ๆ " ช่วงนี้คำว่า "ฟิน" คงเป็นคำฮิตคำฮอตที่ติดปากวัยรุ่นหลาย ๆ คนเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน จะดูรายการ ดูละครเรื่องอะไร หรือแม้สเตตัสเฟซบุ๊ก ก็มักจะเห็นคำว่า "ฟิน" เต็มไปหมด วันนี้ขอยืมบทความจากกระปุกดอทคอมนำความหมายของคำว่า "ฟิน" พร้อมกับภาษาวัยรุ่นฉบับอัพเดทล่าสุดมาฝากกันจ้า... 

      ฟิน : มาจากคำว่า "ฟินาเล่" ที่แปลว่า จบแบบสมบูรณ์แบบ โดยส่วนมากมักจะใช้ตอนที่รู้สึกว่า... "สุดยอด" อย่างเช่น ดีใจจังได้คุยกับรุ่นพี่คนนั้นแล้ว ฟินสุด ๆ อ่ะ เป็นต้น 

     อิน : มาจากคำว่า "อินเนอร์" มีความหมายแบบรู้สึกร่วมไป อย่างเช่นเวลาฟังเพลงแล้วรู้สึกร่วมไปกับเพลง จนต้องร้องไห้ออกมา หรือเวลาดูละครฉากที่มีการตบตีกัน แล้วอยากจะตบนางร้ายนอกจอ หรือไม่ก็อยากจะเป็นนางเอกแทนดาราในทีวี เป็นต้น 

     จิ้น : มาจากคำว่า "อิมเมจิ้น" แปลว่า จินตนาการ ซึ่งจะใช้จินตนาการหรือคิดไปเองว่า คนที่เราชอบเป็นอย่างที่ตัวเองคิด หรืออยากให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ก็เอาไว้จับคู่ดาราสองคนที่เราชื่นชอบ พร้อมจินตนาการให้คิดลึกไปไกล เช่น ดาราที่เราชอบทั้งสองคนบังเอิญไปเจอกัน แต่เรากลับจินตนาการ หรือจิ้นว่า เขาสองคนต้องนัดมาจู๋จี๋กันแน่ ๆ เลย เป็นต้น

     เกรียน : การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ชอบทำซ่าไม่เข้าท่า และไม่เป็นประโยชน์ โดยเปรียบเทียบคำว่าเกรียนจากทรงผมของเด็กผู้ชาย ม.ต้น แต่คำว่าเกรียนนี้ สามารถใช้เปรียบเทียบได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัด 

       อั๊ยย่ะ : คำอุทานน่ารัก ๆ บ้างก็ว่า เพี้ยนมาจากคำว่า ไอหยา... บ้างก็ว่าเป็นภาษาใต้ ส่วนมากจะพูดในประโยคที่เป็นไปในทิศทางค่อนข้างดี เช่น อั๊ยยะ น่ารักจัง ซึ่งเป็นคำที่พูดมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาฮิตมาก ๆ ตอนที่ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้านนำไปพูด 

   
      ปลวก : เป็นคำด่าแนวประชด เปรียบเทียบคนหน้าตาไม่ดีว่าหน้าเหมือนปลวก และมักมีพฤติกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง ชอบแย่งซีนคนอื่นไปทั่ว หรืออาจจะเปรียบเทียบนิสัยที่ชอบกัดจิกคนอื่นไปทั่ว เหมือนปลวกนั่นเอง 

    เมพขิง ๆ : คำนี้มาจากคอเกมส์ออนไลน์ทั้งหลาย ที่เพี้ยนมาจากคำว่า "เทพจิง ๆ" ด้วยความที่เวลาเล่นเกมส์บางเกมส์ต้องทำเวลา จึงทำให้บางทีพิมพ์ผิด ไม่เชื่อลองก้มดูที่แป้นคีย์บอร์ดสิ ท. ทหาร จะติดกับ ม.ม้า และ จ.จาน จะติดกับ ข.ไข่ เวลาพิมพ์รีบ ๆ บางทีมันก็พลาดเป็น เมพขิง ๆ ได้เหมือนกัน 

       วันนาบี : มาจากคำว่า "wanna be" ที่แปลว่า อยากเป็น ซึ่งเป็นคำเหน็บแนมสำหรับคนที่อยากจะเป็นนู่น เป็นนี่ หรือเอาไว้ด่าคนที่ชอบเลียนแบบ มีความหมายอีกอย่างหนึ่งคือ จอมปลอม 

          เอาเป็นว่า คงรู้ความหมายกันของคำศัพท์ฉบับวัยรุ่นกันแล้วนะคะ เพื่อน ๆ คนไหนมีคำศัพท์เพิ่มเติม คำไหนฮอต คำไหนฮิต ก็บอกต่อกันได้นะจ๊ะ 

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

ไขความลับ คนไทยทำไมไม่เก่งภาษา


"เด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถม แต่ทำไมภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง"

...เป็นคำถามที่ได้ยินได้ฟังเป็นประจำ กระทั่งกลายเป็นเหมือนเสียงรำพึงไปในที่สุด

11 ปีเป็นเวลาไม่ใช่น้อย ถ้ารวมการศึกษาระดับอาชีวะเข้าไปด้วย คิดสะระตะนับ 20 ปี แต่นักศึกษาจำนวนไม่น้อยใช้ภาษาอังกฤษได้แค่ระดับงูๆ ปลาๆ

เด็กบางคนขยันมาก ถึงขนาดสามารถท่องดิกชันนารีได้ทั้งเล่ม ภาษาอังกฤษคำไหนแปลว่าอะไร ถามมา-ตอบได้หมดแต่พอให้พูดกลับตกม้าตายพ่อแม่ยุคใหม่ที่มีสตางค์จึงตัดปัญหาด้วยการส่งลูกไปเรียนเมืองนอกและด้วยเหตุนี้ทำให้ปัจจุบันมีโรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนสองภาษาเกิดขึ้นมากมาย เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มนี้ โดยไม่ต้องส่งลูกไปเรียนให้ไกลหูไกลตา
แล้วกับเด็กด้อยโอกาส พ่อแม่ไม่มีเงินพอที่จะส่งเข้าโรงเรียนแพงๆ เล่า...ไม่ยาก!
ถ้าเข้าใจหลักการ การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้พูดได้ ฟังเข้าใจ เหมือนเจ้าของภาษา ไม่ยากเลย ขอเพียงมีความตั้งใจโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษทำได้ง่ายขึ้น สามารถฝึกได้เองในทุกที่ทุกเวลา

ธานินทร์ เอื้ออภิธร ประธานกรรมการบริหาร เลิร์นบาลานซ์ กรุ๊ป ซึ่งดูแลทิศทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนาและการนำ "ไอที" เข้ามาช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษให้กับ "เอ็นคอนเส็ปท์" โรงเรียนกวดวิชาแถวหน้าของเมืองไทย เล่าถึง ช่องโหว่ของระบบการศึกษาของไทยว่า ส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ "สถานะ" มากกว่าความสามารถ ทำให้เด็กไทยแข่งกันเรียนเพื่อให้ได้ใบปริญญา เป็นใบเบิกทางสู่การมีหน้ามีตา มีหน้าที่การงานที่ดี


เช่นเดียวกับปัญหาของการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทย นักเรียน/นักศึกษาส่วนใหญ่เรียนเพื่อจะสอบผ่าน ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่แคบ โลกสมัยใหม่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่การแค่ "เรียนเพื่อสอบ" แต่ต้อง "เรียนเพื่อการเรียนรู้"

เพราะหน้าที่ของภาษาคือ เพื่อการสื่อสาร นับแต่นี้ไป ใครใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ คุณคือจุดอ่อน ยิ่งในห้วงเวลาเตรียมรับการเปิดประชาคมอาเซียน ถ้าพูดอังกฤษไม่ได้ กลายเป็นจุดบอดในทันที

แล้วจะฝึกภาษาอย่างไรดี? แทนที่จะเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้รู้ภาษาอังกฤษ ธานินทร์แนะว่า ควรมีการตั้งเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น เรียนเพื่อประโยชน์ในด้านอื่น โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือ เหมือนกับการเรียนวิชาต่างๆ ด้วยภาษาอังกฤษทำให้ต้อง "เป็น" ภาษาอังกฤษ เพื่อจะเรียนวิชานั้นๆ เข้าใจ เช่นเดียวกับคนวัยทำงานทั่วไป อาทิ คนที่มีอาชีพขับแท็กซี่เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อการรับรองผู้โดยสารชาวต่างประเทศ หรือ หมอนวดแผนโบราณเรียนเพื่อสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้มีกำลังใจในการเรียน

ทั้งนี้ จะให้ดีควรหาเพื่อนร่วมเรียน เพราะส่วนใหญ่เมื่อเรียนคนเดียวจะล้มเลิกความตั้งใจโดยง่าย"จริงๆ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 ด้าน ด้านแรก เรียกว่า Syntax หรือ "ไวยากรณ์" ด้านที่ 2 Semantics คือ "ความหมาย" คนไทยส่วนใหญ่เรียนแค่ 2 ตัวนี้ คือ Vocabulary กับ Grammar แม้แต่เด็กที่เรียนก็จะจำแค่นี้ แต่จริงๆ หลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แทบไม่ได้เรียน 2 ตัวนี้เลย 2 ตัวนี้เป็นเพียงผลพลอยได้

แต่ 2 ตัวที่เป็นตัวหลัก คือ Phonology "การออกเสียงที่ถูกต้อง" กับ Pragmatics คือ "การใช้จริง"


ธานินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า "สองตัวแรกไวยากรณ์และความหมาย ใช้สมองซีกซ้ายในการเรียน ต้องใช้ตรรกะในการเรียน ต้องใช้ความจำเยอะมาก

แต่เรื่องการออกเสียงเป็นสมองซีกขวา เป็นเรื่องของทักษะ ออกเสียงถูกหรือไม่ถูก ส่วน Pragmatics บางคนคิดว่าคือ การเดินเข้าไปหาฝรั่งแล้วเซย์ ฮัลโหล ฮาว อาร์ ยู แต่...ไม่ใช่ ที่จริงเป็นความเข้าใจในวัฒนธรรม และการใช้ภาษาได้ถูกต้องในทางวัฒนธรรม

"คนไทยไม่เรียนเรื่องวัฒนธรรมต่างชาติ จึงไม่เข้าใจบริบทของวัฒนธรรมทางภาษา แม้ประโยคถูกแต่บริบทผิดความหมายก็ผิด ยกตัวอย่างคำทักทายของคนไทยจะทักว่า "กินข้าวหรือยัง" นี่คือบริบทของคนอินโดไชน่า แต่ถ้าไปทักแบบนี้กับฝรั่ง มันเป็นบริบททางวัฒนธรรมที่แปลก เขาอาจจะคิดว่ามายุ่งเรื่องของฉันทำไม"

แล้วเรียนภาษาอังกฤษอย่างไร จึงสามารถใช้ได้เหมือนเจ้าของภาษา?สิ่งสำคัญอยู่ที่เรื่องของ "เสียง"

คนไทยจำเสียงผิด เนื่องจากขาดต้นแบบที่ถูกต้อง แม้จะเขียนถูกแต่ออกเสียงผิดฝรั่งก็ไม่เข้าใจซึ่งตรงนี้เทคโนโลยีช่วยได้ไม่ว่าจะเป็นการดูภาพยนตร์พากย์ภาษาอังกฤษ หรือโหลดแอพพลิเคชั่น สอนภาษาอังกฤษได้ทั้งนั้น

หัวใจสำคัญคือ ถ้าเป็นหนังให้ปิดซับไตเติ้ลฟังเสียงอย่างเดียว โดยหยุด (pause) เป็นระยะๆ และออกเสียงตาม ซึ่งควรทำซ้ำๆ กระทั่งสามารถออกเสียงได้เหมือนกับต้นแบบ

"เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราออกเสียงได้ถูกต้อง เราจะฟังได้ทันที"

ธานินทร์ยืนยัน พร้อมกับอธิบายถึงกระบวนการรับรู้ในสมองว่า สมองคนเราแบ่งเป็นชั้นๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับรู้ข้อมูลใหม่ เรียกว่า "เวิร์กกิ้ง เมมโมรี่" (Working Memory) จะจำได้ 7 ตัว ซึ่งการรับรู้ตรงนี้ของแต่ละคนจะต่างกัน บางคนจำได้ 12 บางคนจำได้แค่ 5 แต่ส่วนใหญ่จะจำได้ 7 ฉะนั้นเวลาที่เราฟังชาวต่างชาติพูดแล้วฟังไม่ทัน เพราะนั่นเป็นข้อมูลใหม่ที่เรายังไม่เคยรับรู้มาก่อน

ถ้าเรารับรู้ข้อมูลนั้นมาแล้ว ระบบการทำงานของสมองจะใช้อีกส่วนซึ่งอยู่ด้านใต้ เรียกว่า "ลอง เทอม เวิร์กกี้ง เมมโมรี" (Long Term Working Memory) เป็นส่วนที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นการฝึกทักษะจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การเรียนภาษาอังกฤษผ่านการดูภาพยนตร์ โดยปิดซับไตเติ้ล ฟังซ้ำหลายๆ ครั้ง จำทั้งประโยคไปเลย นอกจากจะได้เสียงที่ถูกต้องแล้ว ผลพลอยได้คือ จะได้ทั้งทักษะ ไวยากรณ์ รูปประโยค และความหมายโดยอัตโนมัติ

ยิ่งกระแสของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยิ่งทำให้เรื่องของการฝึกทักษะเป็นสิ่งจำเป็นธานินทร์สะท้อนถึงแนวโน้มของโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษในปัจจุบันในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงว่า โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษมี 2 แบบ คือ 1. เรียนวิชาการ (Academic) และ การเรียนทักษะ (Skill)

สองตลาดนี้อยู่แยกกันโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนคนที่เรียนทักษะจะเป็นผู้ใหญ่วัยต้นๆ จนทำงาน ปัจจุบันคนสนใจมากขึ้นในทุกระดับ เพราะกระแสของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทำให้เรื่องของทักษะเป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งในเด็กเล็กด้วย จากเดิมที่เริ่มเรียนกันตอน ม.5-6 ปัจจุบัน ม.1 เริ่มกวดวิชาแล้ว


เพราะ "การจำ" เริ่มจาก "การทำ" ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ การเอาตัวเองเข้าไปสัมพันธ์จึงเกิดการเรียนรู้ เกิดการจำขึ้นในสมอง

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

Tense


Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ
               1.     Present   tense        ปัจจุบัน
 ; อดีตกาล
   อนาคตกาล
ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ
              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).


โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้
Present  Tense
                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
                      [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).

หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้
              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,
1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.    
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รักเข้าใจ, รู้  เป็นต้น.
4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.
6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.
7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.
8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.


[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.
1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.

            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense
4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.

   [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.
มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

*******************************************************
Past Tense
                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
                      [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).

             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.
1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.
2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.

        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว
1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.
3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.
1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.
2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.
           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา ชั่วโมง.

*******************************************************
Future Tense
                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
                      [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).  

                

  [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.
              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.
           * Shall   ใช้กับ     I    we.
             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.
             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.

       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.
1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.
               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.
                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .

        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.
1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.
2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.
-         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.


จบเรื่อง  Tense