วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558

รวมคำศัพท์อาการป่วยภาษาอังกฤษ (Symptoms Vocabularies)

คำศัพท์อาการป่วย ภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษคำอ่านความหมาย
goutเกาทฺโรคเกาต์
hemorrhoidsเฮมะรอยดสฺริดสีดวงทวาร
pilesไพลสฺริดสีดวงทวาร
pneumoniaนิวโมเนียโรคปอดบวม
gastritisแกซไทรซิสโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
appendicitisแอพเพนดิไซทิสโรคไส้ติ่งอักเสบ
enteritisเอนเทอไรทิซโรคลำไส้อักเสบ
food poisoningฟูด พอยเซินนิงอาหารเป็นพิษ
diarrheaไดเออะเรียท้องร่วง
jaundiceจอนดิซดีซ่าน
cirrhosisสิโรซิสโรคตับแข็ง
gallstonesกอลสโตนสฺโรคนิ่วในถุงน้ำดี
diabetesไดอะบีทสฺโรคเบาหวาน
tonsillitisทอนซิลลิซิสต่อมทอนซิลอักเสบ
feverฟีเวอรฺไข้
measlesมีเซิลโรคหัด
German measlesเจอมัน มีเซิลโรคหัดเยอรมัน
rubellaรูเบลลาโรคหัดเยอรมัน
cancerแคนเซอร์โรคมะเร็ง
chicken poxชิคเคน พ็อกสฺอีสุกอีใส
dengue feverเดงกี ฟีเวอรฺไข้เลือดออก
heart diseaseฮารฺทฺ ดิซีสฺโรคหัวใจ
whooping coughวูปปิง คอฟโรคไอกรน
pertussisเพอทัสซิสโรคไอกรน
diphtheriaดิพเธอเรียโรคคอตีบ
tetanusเททานัสโรคบาดทะยัก
asthmaticแอสแมทิคฺโรคหอบหืด
sinusitisไซนัสไซทิซโรคไซนัสอักเสบ
laryngitisลาริงไจทิซโรคกล่องเสียงอักเสบ
styeสตายโรคตากุ้งยิง
allergyอัลเลอรฺจีภูมิแพ้
shoulder stiffnessโชลเดอ สติฟเนสไหล่เกร็ง
depressionดีเพรสเชินโรคซึมเศร้า
athlete’s footแอธลีทสฺ ฟูทโรคน้ำกัดเท้า /ฮ่องกงฟุต/กลากที่เท้า
impacted toothอิมแพคเท็ด ทูธฟันคุด
mumpsมัมพสฺคางทูม
coldโคลดฺโรคหวัด,หนาว
constipationคอนสทิเพเชินอาการท้องผูก
dyspepsiaดิสเพพเซียอาการอาหารไม่ย่อย
dehydrationดีไฮเดรเชินอาการที่ร่างกายขาดน้ำ
sprainสเปรนอาการเคล็ด หรือแพลง
heartburnฮารฺทเบิรฺนอาการจุกเสียดแน่นท้อง
toothacheทูธเอคอาการปวดฟัน
stomachacheสตอมัคเอคอาการปวดท้อง
eyestrainอายสเตรนอาการเพลียตา
insomniaอินซอมเนียอาการนอนไม่หลับ
crickคริคฺอาการเจ็บตึงกล้ามเนื้อ
sore throatซอรฺ โธรทอาการเจ็บคอ
stuffy noseสตัฟฟี โนสอาการคัดจมูก
nose bleedโนส บลีดอาการเลือดกำเดาไหล
convulsionคอนวัลเชินการชักกระตุก
fractureแฟรคเจอกระดูกร้าว/หัก
broken boneโบรกเคน โบนกระดูกหัก
burnเบิรฺนแผลที่เกิดจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
blisterบลิสเตอแผลพุพอง
conjunctivitisคอนจังทิไวซิสเยื่อบุตาอักเสบ/ตาแดง
nauseousนอเซียสคลื่นไส้
vomitวอมิทฺอาเจียน
bleedingบลีดดิงที่มีเลือดไหล
misshapenมิสเชพเพนที่ผิดรูปผิดร่าง
bruiseบรูซฺแผลฟกช้ำ
coughคอฟไอ
inflamedอินเฟลมดฺอักเสบ
runny noseรันนี โนสน้ำมูกไหล
phlegmเฟลมเสมหะ
swollenสวอลเลินบวม
pusพัสฺหนอง
purulentพูรูเลนทฺเป็นหนอง
chronicครอนิคเรื้อรัง
hiccupฮิคคัพสะอึก
perspireเพอรฺสไพรฺเหงื่อออก

การใช้ feel, hear, notice, observe, overhear, see, watch, listen, smell, notice

Verb บางตัว เช่น feel, hear, notice, observe, overhear, see, watch, listen, smell, notice
สามารถ
เขียนในโครงสร้างสองแบบต่อไปนี้ แต่จะมีความหมายต่างกัน
1) verb + object + -ing form
สื่อถืงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ หรือกำลังเกิดขึ้นต่อเนื่อง  (-ing form หมายถึง Verb ที่เติม ing)
I saw Kim listening to the radio while I was having breakfast.
ฉันเห็นคิมกำลังฟังวิทยุขณะที่ฉันกำลังทานอาหารเช้า (เล่าว่าเห็นตอนกำลังฟังวิทยุ)
I saw him shooting at birds.
ผมเห็นเขากำลังยิงนก  (เล่าว่าเห็นตอนกำลังยิงนก)
I could hear it raining.
ฉันสามารถได้ยินเสียงฝนกำลังตกอยู่
I saw the missing boys playing near the river.
ฉันเห็นเด็กที่หายไปกำลังเล่นกันอยู่ริมแม่น้ำ (เล่าว่าเห็นตอนกำลังเล่นกัน)
Can you smell something burning?
คุณได้กลิ่นอะไรบางอย่างกำลังไหม้หรือเปล่า
I saw him fixing the car.
ฉันเห็นเขากำลังซ่อมรถ (เล่าว่าเห็นตอนกำลังซ่อม)
I heard him singing a song.
ฉันได้ยินเขากำลังร้องเพลง (เล่าว่าได้ยินตอนกำลังร้องเพลง)
I saw him playing football from my window.
ฉันเห็นเขากำลังเล่นฟุตบอลจากหน้าต่าง (เล่าว่าเห็นตอนกำลังเล่นฟุตบอล)
He noticed someone watching him from an upstairs window.
เขาสังเกตว่ามีบางคนกำลังเฝ้าดูเขาจากหน้าต่างด้านบน (ใช้ watching เพราะเขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นตอนที่ถูกเฝ้าดูอยู่เท่านั้น)
I heard Som and Kaew having an argument.
ฉันได้ยินส้มกับแก้วถกเถียงกัน (เล่าว่าได้ยินตอนกำลังถกเถึยงกัน)

2) verb + object + bare infinitive
สื่อถึงการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ (bare infinitive หมายถึง base form หรือ verb รูปปกติ ไม่ผัน ไม่เติม s/es/ed)
I saw him fix the car.
ฉันเห็นเขาซ่อมรถจนเสร็จ (ถ้าจะบอกว่าเห็นตอนกำลังซ่อม จะใช้ fixing)
I heard him sing a song.
ฉันได้ยินเขาร้องเพลงตั้งแต่ต้นจนจบ
I saw Bee throw a book at Ple.
ฉันเห็นบีขว้างหนังสือใส่เปิ้ล (เห็นตอนขว้างทั้งหมด เพราะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ )
I noticed him run away from the house.
ฉันสังเกตเห็นเขาวิ่งหนีออกจากบ้าน (เห็นเหตุการณ์ตอนเขาวิ่งหนีทั้งหมด)
Did you see the accident happen?
คุณเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือไม่ (=คุณเห็นตอนอุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งหมดหรือไม่)
I heard the tyre burst and then the lorry skidded across the road.
ฉันได้ยินเสียงยางระเบิดก่อนที่รถบรรทุกจะไถลข้ามถนน (ได้ยินเสียงทั้งหมด เพราะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ)
She felt the bee sting her just before she brushed it off her arm.
เธอรู้สึกว่าผึ้งต่อยก่อนที่เธอจะปัดออกจากแขนของเธอ (กรณีน่าจะเป็นการต่อยครั้งเดียว ระยะเวลาสั้นๆ จึงใช้ sting ถ้าใช้ stinging จะสื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง คือต่อยซ้ำๆ หลายครั้ง ซึ่งไม่น่าจะใช่)

การใช้ classifier

เคยสงสัยไหมคะ ว่าเวลาจะพูดเวลาคำว่า หมู 1 ชิ้น หรือข้าวโพด 3 ฝักเนี่ย เราจะพูดเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร จะใช้ "pork one piece" ดีไหม? หรือจะเป็น "three corn" ดี? วันนี้เรามีวิธีการพูดสิ่งเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษมาแบ่งปันกันค่ะ คำว่า "ชิ้น" หรือ "ฝัก" นี้ภาษาไทยจัดเป็นคำลักษณนาม ในภาษาอังกฤษพบว่ามีการใช้คำดังตัวอย่างข้างต้นในลักษณะคล้ายกันที่เรียกว่า classifier ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวบอกเราว่า รูปลักษณะและชนิดของสิ่งต่างๆที่เรากล่าวถึงนั้นอยู่ในรูปใด เช่น เวลาแม่บอกให้เติมน้ำตาล 3 ช้อนลงในกาแฟให้แม่หน่อย เราก็เข้าใจว่าแม่ต้องการใช้ช้อนตวงน้ำตาลออกมา 3 ครั้ง หรือเวลาเราไปซื้อน้ำตาลที่ห้าง เราก็จะซื้อน้ำตาลเป็นกิโล จะเห็นได้ว่าน้ำตาลเหมือนกัน แต่classifierที่ใช้นั้นต่างกัน

การใช้ classifier อาจสังเกตได้เป็น 3 ประเภทง่ายๆดังนี้



จะเห็นได้ว่าคำนามบางคำสามารถใช้ classifier ได้มากกว่าหนึ่งคำ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าความหมายที่เราต้องการจะสื่อถึงนั้นคืออะไรค่ะ เวลาใช้คำเหล่านี้ก็ใช้โดยการนำจำนวนนับเติมไว้หน้าคำ เช่น

Two bottles of milk.
นม 2 ขวด
Two glasses of milk.
นม 2 แก้ว
Three ears of corn.
ข้าวโพด 3 ฝัก
An ear of corn.
ข้าวโพด 1 ฝัก
สังเกตว่าสิ่งที่มีแค่จำนวนเดียวหรือชิ้นเดียว มักนิยมใช้ a/an แทนจำนวนนับ

สนทนา ไม่จำเป็นต้องรู้แกรมม่าเยอะ

Grammar คือตัวขัดขวางไม่ให้คนไทยพูดอังกฤษได้นะคะ
การสอนแบบเดิมๆ โดยที่เริ่มจาก Grammar จะทำให้กระบวนการคิดซับซ้อนมากเกินไป กลัวแต่จะพูดผิดแกรมม่า คิดมากเกินไป ห่วงแต่ความถูกต้อง สุดท้ายเลยไม่กล้าพูด

Conversation ไม่จำเป็นต้องรู้ Grammar มากมายนะครับ รู้แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็พอ
Conversation ใช้วิธีจำเป็นประโยคไปพูดเลย ไม่ต้องมาสร้างประโยคเองให้ยุ่งสมอง




ถ้าคิดว่า ต้องการจะพูดให้ได้ ต้องเริ่มจากง่ายไปหายากนะคะ
- อันดับแรก ต้องขจัดความอายออกไปก่อน กล้าที่จะพูดผิดแกรมม่าแบบไม่ต้องคิดมาก สื่อสารด้วย Simple Tense เป็นหลัก จำประโยคต่างๆมาพูดโดยไม่ต้องไปสร้างประโยคเอง (ให้ลืมเรื่องแกรมม่าไปก่อน)
ขอเพียงออกเสียงคำต่างๆให้ถูกต้อง และไม่ต้องใส่สำเนียงอะไรเว่อร์ๆเข้าไป แค่นี้ฝรั่งก็พอจะฟังคุณเข้าใจแล้ว พอไม่อาย ก็กล้าพูด และจะมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ
- ขั้นต่อไป เมื่อขจัดความอายออกไปได้แล้ว พูดได้คล่องคอแล้ว ต่อไปก็เริ่มศึกษาแกรมม่าเพิ่มเติม เพื่อจะได้พูดให้ถูกต้องจริงจัง
ประเด็นนี้ถกกันร้อนแรงมากๆในหมู่คนไทยที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษและในหมู่คนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษ

บางคนก็บอก "grammar จำเป็น" บางคนก็บอกว่า "ไม่ต้องไปสนใจ grammar มัน"

มีหลายคนคิดว่า เค้าไม่เคยเรียน grammar เลย ไม่เคยอ่านตำรา grammar ไม่เคยลงเรียนหลักสูตร grammar ที่ไหนเลย แต่สามารถใช้ทักษะภาษาอังกฤษหาเงินมาแล้วหลายปี ตั้งแต่เป็นนักแปลซึ่งส่วนใหญ่แปลไทยเป็นอังกฤษ บางคนสามารถแก้ ภาษาอังกฤษของนักแปลคนอื่นๆที่จบเอกอังกฤษมาที่แม่น grammar แต่เค้าก็ยังอุตส่าห์แก้ภาษาอังกฤษดร.เหล่านั้นได้  จนกล้าตั้งตัวเป็นล่ามแล้วก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วย

เพียงเพราะหลงผิดคิดไปเองว่า “เราไม่ต้องเรียน grammar แต่เราก็เก่งอังกฤษได้”
ซึ่งมันไม่จริง ไม่จริง!

ข้อสรุปที่จะบ่งบอกว่าเราเข้าใจอะไรผิดๆเกี่ยวกับเรื่อง grammar ซึ่งตอนหลังเราเข้าใจถูกแล้ว)  นั่นก็คือว่า

***** ไอ้ที่เราคิดว่าเราใช้ภาษาอังกฤษหาเงินได้ในระดับมืออาชีพทั้งๆที่เราไม่เคยเรียน grammar น่ะ จริงๆแล้วเราเข้าใจผิด คือจริงๆแล้วเราเรียน grammar มา แต่เรียนโดยไม่รู้ตัวต่างหากล่ะ!*****

พูดงี้แล้ว จะงง แต่ถ้างงเราจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง

เราพยายามนึกภาพครูไทยสอน grammar เรื่องที่ basic ที่สุด คือ parts of speech ครูไทยส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยอธิบายให้นักเรียนฟังเป็นวรรคเป็นเวรว่า nouns, adjectives, adverbs คืออะไร แล้วมันมีกี่ประเภท แล้วมันทำหน้าที่อะไรได้บ้าง บล๊าบๆๆๆๆ  แล้วพอสอนเรื่อง tenses ก็อธิบายเป็นวรรคเป็นเวรว่า tense ไหนมีอะไรบวกอะไร บวกอะไรจนน่าเวียนหัว


Conversation ไม่จำเป็นต้องรู้ Grammar มากมายนะคะ รู้แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็พอ
Conversation ใช้วิธีจำเป็นประโยคไปพูดเลย ไม่ต้องมาสร้างประโยคเองให้ยุ่งสมอง

ถ้าคิดว่า ต้องการจะพูดให้ได้ ต้องเริ่มจากง่ายไปหายากนะคะ
- อันดับแรก ต้องขจัดความอายออกไปก่อน กล้าที่จะพูดผิดแกรมม่าแบบไม่ต้องคิดมาก สื่อสารด้วย Simple Tense เป็นหลัก จำประโยคต่างๆมาพูดโดยไม่ต้องไปสร้างประโยคเอง (ให้ลืมเรื่องแกรมม่าไปก่อน)
ขอเพียงออกเสียงคำต่างๆให้ถูกต้อง และไม่ต้องใส่สำเนียงอะไรเว่อร์ๆเข้าไป แค่นี้ฝรั่งก็พอจะฟังคุณเข้าใจแล้ว พอไม่อาย ก้กล้าพูด และจะมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ
- ขั้นต่อไป เมื่อขจัดความอายออกไปได้แล้ว พูดได้คล่องคอแล้ว ต่อไปก็เริ่มศึกษาแกรมม่าเพิ่มเติม เพื่อจะได้พูดให้ถูกต้องจริงจัง

(ยังมีต่อ)

Taxi English

สวัสดีครับ
          เวลาที่ผมไปต่างประเทศและขึ้นรถแท็กซี่ พอขี้นปุ๊บก็บอกสถานที่ที่จะไป เมื่อไปถึงก็จ่ายเงินตามมิเตอร์ และลงจากรถ ผมในฐานะผู้โดยสารไม่ต้องพูดอะไร และคนขับก็ไม่ต้องพูดอะไรเช่นกัน และจากการสอบถามก็ได้พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้บริการรถแท็กซี่ในกรุงเทพ และคนขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพ จำนวนไม่น้อยก็เป็นคล้าย ๆ กัน คือไม่ต้องพูดอะไร เมื่อเป็นอย่างนี้ คนขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพก็ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษก็ได้ เพียงฟังให้รู้เรื่องคำศัพท์ของสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไปบ่อย เช่น ข้าวสารโรด, วิคทอรี่มอนิวเมนต์ (Victory Monument –  อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ), Wat Phra kaew (วัดพระแก้ว) เท่านี้ก็ทำมาหากินได้แล้ว และคนขับแท็กซี่ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกพูดภาษาอังกฤษให้เมื่อย
แต่ไม่ใช่หรอกครับ.....
          หลายครั้งที่ผมไปรับเพื่อนหรือแขกต่างชาติที่สนามบินสุวรรณภูมิ และนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปส่งเขาที่โรงแรม พอรถออกจากสนามบินผมก็ชวนคุยโน่น-นี่-นั่น ไปตลอดทาง ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ทั้งเรื่องเมืองไทย และเรื่องประเทศของเขาที่ผมพอทราบ มีบางครั้งช่วงว่างเสียง คนขับจะถามว่า พี่เป็นไกด์หรือ? ผมบอกว่าไม่ได้เป็น เขาตอบว่า ถ้าผมพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ผมคงหาตังค์ได้อีกมากกว่านี้เยอะ ผมชักสนใจเลยถามว่า หาได้ยังไง ต่อไปนี้คือคำตอบที่ผมได้รับ...
♦ -“ถ้าผมจับทางได้ว่าเขาชอบซื้ออะไร เช่น ชอบแฟชั่นเสื้อผ้า ชอบเพชรพลอย ชอบกินอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ ชอบซื้อของประเภทจตุจักร ผมก็พาเขาไปส่งที่นั่น  และก็จะได้เงินพิเศษจากทางร้านเพราะเราเป็นคนพาลูกค้าเข้าร้าน หรืออาจจะได้แถมติ๊ปจากผู้โดยสารอีกด้วย….”
♦ -ถ้าแขกผู้ชายที่ชอบเที่ยวสถานเริงรมย์ตอนกลางคืน ก็จะได้ในทำนองเดียวกัน
♦ -เพื่อนแท็กซี่บางคนที่พูดภาษาอังกฤษคล่อง ๆ ตอนอยู่ในรถกับผู้โดยสารต่างชาติก่อนถึงโรงแรม เขาเจรจากับแขกเลยว่า พรุ่งนี้ หรือวันว่าง คุณจะไปที่นั่นที่นี่ในกรุงเทพหรือต่างจังหวัดไหม?  เขาจะพาไป โดยเป็นทั้งคนขับ คนพาเที่ยว และไกด์ในตัวเสร็จสรรพ เหมาราคากันเรียบร้อย  ซึ่งสะดวกและอาจจะถูกกว่าถ้าแขกไปซื้อทัวร์ส่วนตัวต่างหาก กรณีอย่างนี้ คนขับรถแท็กซี่ไม่จำเป็นต้องพูดได้คล่องแคล่วเทียบเท่าไกด์มืออาชีพหรอกครับ   เอาเป็นว่าพอพูดได้บ้างก็รับงานทำนองนี้ได้แล้ว ซึ่งได้เงินเยอะกว่าขับตระเวนหาผู้โดยสารทั้งวัน
          ในอินเทอร์เน็ต มีเว็บไซต์หลายเว็บที่สอนคนขับรถแท็กซี่เมืองไทยในการพูดภาษาอังกฤษกับผู้โดยสารต่างชาติ ณ นาทีนี้ที่ผมกำลังรวบรวมเนื้อหาเหล่านี้  ผมก็สงสัยว่า  เนื้อหาเหล่านี้จะไปถึงพี่น้องที่ขับรถแท็กซี่ได้ยังไง  ผมได้คุยกับแท็กซี่บางคนและรู้ว่าเขามีเน็ตใช้ที่บ้าน จึงได้แนะนำให้เขาเข้าไปฝึกสนทนาภาษาอังกฤษที่ www.e4thai.com   แต่ผมก็เข้าใจว่าคงมีหลายคนที่ไม่ได้ใช้เน็ต เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ถ้าท่านสามารถนำบทความนี้ไปบอกแท็กซี่คนใดได้ก็ช่วยด้วยนะครับ  ถือว่าช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน
[1] ดาวน์โหลด หนังสือ ภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพพนักงานขับรถรับจ้าง มีเนื้อหา 6 บท ดังนี้
-การทักทายต้อนรับ
-การบอกทิศทาง
-การบอกราคา และการต่อรองราคา
-การให้ข้อมูล
-การขอโทษ
-การขอบคุณ ตอบรับการขอบคุณ และการกล่าวหา
[2] ดาวน์โหลด หนังสือ คู่มือภาษาอังกฤษสำหรับผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถตุ๊กตุ๊กรับจ้าง
มีหลายประโยค คนขับรถแท็กซี่สามารถใช้พูดกับผู้โดยสารได้
 [3] วีดิโอ แนะนำบทสนทนาสำหรับคนขับรถแท็กซี่
โดย อาจารย์อดัม
[4] วีดิโอแสดง 20 ประโยค ที่ผู้โดยสารมักพูดกับคนขับรถ
[5] เว็บไซต์ที่มีประโยคภาษาอังกฤษ เสียงอ่านประโยค และคำแปลไทย  สำหรับคนขับรถแท็กซี่ และคนโดยสารแท็กซี่
http://www.speakenglish.co.uk/phrases/travelling_by_taxi?lang=th (คลิกที่ประโยคภาษาอังกฤษ เพื่อฟังเสียงอ่าน )
[6] ประโยคภาษาอังกฤษ ที่ผู้โดยสารมักจะพูด และคนขับรถแท็กซี่ควรฟังรู้เรื่อง
แถม: Joke ภาษาอังกฤษ แปลไทย เกี่ยวกับ คนขับรถแท็กซี่มือใหม่
พิพัฒน์

bio-illogical clock



"นาฬิกาชีวิต" เป็นนาฬิกาซึ่งถูกติดตั้งไว้ในร่างกายพร้อมกับการกำเนิดของมนุษย์ มันเป็นตัวตั้งเวลาตื่น เวลานอน เวลากิน เวลาขับถ่าย เวลาออกกำลังกาย เป็นตัวส่งสัญญาณบอกว่าถึงเวลาหาคู่ ตลอดจนบอกเวลาแห่งความเป็นความตายของมนุษย์ที่น่าเชื่อถือที่สุด

 นาฬิกาเรือนนี้ออกแบบมาด้วยสุดยอดเทคโนโลยีนาโน ซึ่งควบคุมและประเมินผลด้วยกลไกที่เป็นอวัยวะ เริ่มเดินด้วยแรงสั่นสะเทือนครั้งแรกของหัวใจ โดยตั้งเวลาหยุดเดินไว้ที่ 100 กว่าปีหลังจากนั้น ไม่ใช่ 60 หรือ 70 อย่างที่เข้าใจกัน

กิจกรรมประจำวันมีความสอดคล้องกับกฏเกณฑ์เวลาของนาฬิกาชีวิต คุณต้องรู้ว่าควรจะทำอะไรบ้างใน 24 ชั่วโมง เพราะในทุก 2 ชั่วโมง พลังชีวิต (ลมปราณ) จะเคลื่อนผ่านอวัยวะที่แตกต่างกันไป รวม 12 ชนิด หมุนเวียนกันไปตามลำดับเวลาเหมือนนาฬิกา ดังนี้

01.00-03.00 น. พลังเคลื่อนผ่านตับ ควรนอนหลับพักผ่อน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตับจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน และนี่ไม่ใช่เวลากินอาหาร ใครฝ่าฝืนกินเข้าไป ตับจะเสื่อมเร็ว เพราะตับมีหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย มีหน้าที่รอง ได้แก่ ดูแลความงามของผม ขน เล็บ และช่วยหลั่งน้ำย่อยให้กระเพาะ ถ้ากินบ่อย ตับจะทำงานหนัก ทำให้หน้าที่หลักบกพร่องไป เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

03.00-05.00 น.   เป็นช่วงเวลาที่พลังไหลผ่านปอด จึงควรตื่นนอนขึ้นมาเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และเตรียมตัวรับแสงแดดยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำ ปอดจะดี ผิวจะดี และเป็นคนที่มีอำนาจในตัว ด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาล ทำให้การสื่อสารมีอำนาจขึ้นอีกเยอะ แต่เวลานี้มนุษย์ทั้งหลายกำลังหลับไหล

05.00-07.00 น.   เป็นช่วงเวลาของการขับถ่ายโดยผ่านลำไส้ใหญ่ เราควรขับถ่ายให้เป็นนิสัยทุกเช้า มิฉะนั้นของเสียจะถูกระบายออกทางผิวหนัง

07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร ถ้าเรากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ได้ทุกวัน กระเพาะก็จะแข็งแรง

09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ห้ามนอนเด็ดขาด เพราะม้ามจะอ่อนแอ ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน ผู้ที่นอนหลับในช่วงเวลานี้ จะปวดศรีษะ เจ็บชายโครง เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง ม้ามจะสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย และถ้าม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนได้

11.00-13.00 น.   พลังปราณผ่านหัวใจ หัวใจจะทำงานหนัก จึงควรหลีกเลี่ยงเหตุแห่งความเครียด และการใช้ความคิดหนัก ต้องระงับความรู้สึกตื่นเต้นตกใจให้ได้

13.00-15.00 น.   เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก เราควรงดกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ได้ทำงาน ลำไส้เล็ก มีหน้าที่ดูดซึมอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี โปรตีน เพื่อนำกรดอะมิโนไปสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนมีน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน

17.00-19.00 น. เป็นเวลาของไต ควรจะทำตัวให้สดชื่น ผู้ที่ง่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้าอาการหนักมากจะนอนหลับและเพ้อ ไตซ้ายจะควบคุมสมองด้านขวาคือส่วนที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรี รักสวยรักงาม ถ้าไตซ้ายมีปัญหา จะเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเองและจะขี้ร้อน ส่วนไตขวาควบคุมสมองด้านซ้าย เกี่ยวกับความจำ ถ้าไตด้านขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม เป็นคนขี้หนาว ถ้าไตแข็งแรง จะเป็นคนกล้าและอายุยืน

19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ระวังเรื่องตื่นเต้นดีใจ หัวเราะ ที่จริงควรจะควบคุมอารมณ์ให้เป็นกลางๆ

21.00-23.00 น.   เป็บช่วงเวลาแห่งการเก็บพลังงาน ต้องทำร่างกายให้อบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นหรือตากลม เพราะช่วงนี้ลมเป็นพิษ ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ซึ่งเป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่หลั่งออกมาจากตับ และเมื่ออวัยวะในร่างกายขาดน้ำ ก็จะดึงน้ำไปจากถุงน้ำดี ทำให้น้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อมลง เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นตอนดึก จามตอนเช้า เพราะถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด ปวดศรีษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ไนล่อน เพราะมันจะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าฝ้าย ควรดื่มน้ำก่อนนอนเยอะๆ ควรนอนก่อน 23.00 น.