วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

การใช้ past continuous and past simple

การใช้ past continuous & past simple
สอง Tense นี้ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในอดีตเหมือนกัน ตามหลักแล้ว past continuous tense จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น He was watching football match at 8 p.m. yesterday. และ past simple จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดแล้วจบแล้วในอดีตโดยมีการระบุเวลาที่แน่นอน เช่น I called her last night. แต่เมื่อนำมาสอง Tense เจ้าปัญหานี้มาใช้ร่วมกัน หลักการใช้จะเป็นดังนี้ค่ะ
1. Past continuous tense ==> พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังเกิดอยู่ (ในอดีต)
2. Past simple tense ==> เหตุการณ์ที่เกิดทีหลัง หรือเข้ามาขัดจังหวะ
ตัวอย่างเช่น
A car hit the dog as it was running on the road.
  • รถยนต์คันหนึ่งชนหมา ขณะที่มันกำลังวิ่งบนถนน

(หมากำลังวิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังเกิดขึ้นอยู่ จึงใช้ past continuous และรถมาชนหมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดที่หลังและมาขัดจังหวะ จึงใช้ past simple)

  •  My mom cut her finger while she was cooking.
    แม่ของฉันทำมีดบาดนิ้ว ขณะที่หล่อนกำลังทำอาหาร
    (แม่กำลังทำอาหารเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน จึงใช้ past continuous และมีดบาดนิ้วเป็นเหตุการณ์ที่เกิดที่หลังและมาขัดจังหวะ จึงใช้ past simple)

  • was swimming when the shark came.
    ฉันกำลังว่ายน้ำตอนที่ปลาฉลามมา
  • ** ในประโยคข้างบนจะสังเกตว่ามีคำเชื่อม while กับ as เชื่อมสองประโยคนี้เข้าด้วยกันแปลว่า ในขณะที่ และ when แปลว่า ตอนที่  โดยที่
  • ==> ประโยคที่อยู่หลัง while, as  (ขณะที่)   ใช้ past continuous
  • ==> ประโยคที่อยู่หลัง when  (เมื่อ, ตอนที่) ใช้ past simple

  • ***  วิธีการใช้สอง tense นี้ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า กริยาที่ใช้กับ past continuous tense ได้นั้นจะต้องเป็นกริยาที่เกิดเป็นระยะเวลานานๆ ได้ เช่น sleep, take a shower, have dinner, walk, run, eat, teach, cry, etc. แต่กริยาที่ใช้กับ past simple นั้นจะเป็นกริยาที่เกิดได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เช่น arrive, cut, hear, call, ring, hit, see, etc

ความแตกต่างระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous


ความแตกต่างระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous
เรื่อง Tense เป็นปัญหายุ่งยากในการเรียนภาษาอังกฤษมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Tense ที่ใกล้เคียงกันมักจะสร้างความสับสนเวลาใช้ว่าจะเลือกใช้ Tense ไหนดี แล้วมันต่างกันอย่างไร ในที่นี้จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous tense
โครงสร้างของสอง Tense นี้ก็ใกล้เคียงกัน คือ
Present perfect :  ประธาน + have / has + V3
Present perfect continuous : ประธาน + have / has + been + Ving
** จำง่ายๆว่า ถ้าเป็น continuous ปุ๊บจะต้องมี Ving อย่างแน่นอน


หลักการใช้ของทั้งสอง Tense นี้เนื่องจากว่ามันเป็น perfect tense ทั้งคู่ เหตุการณ์ที่มันจะเกี่ยวข้องด้วยก็จะเป็นเหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่!! Present perfect continuous tense จะเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์มากกว่า ฉะนั้นจะเลือกใช้ tense ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับนัยยะของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ โดยถ้าหากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบต่อเนื่อง หรือ ทำแบบไม่หยุดพักให้ใช้ present perfect continuous เพื่อที่คนฟังจะได้เห็นภาพของความต่อเนื่อง ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้ดูค่ะ
  • The children have studied for their exam since this morning. (present perfect)
  • The children have been studying for their exam since this morning. (present perfect continuous)
ประโยคแรก เด็กๆอ่านหนังสือเตรียมสอบกันตั้งแต่เมื่อเช้าคนฟังก็จะเห็นภาพว่าเด็กนั่งอ่านหนังสือกัน อาจจะอ่านบ้าง พักบ้าง เล่นบ้าง แต่อ่านกันตั้งแต่เช้าประโยคที่สอง แปลเหมือนกัน แต่คนฟังอาจจะเห็นภาพว่าเด็กๆนั่งอ่านกันมาตั้งแต่เช้าโดยไม่หยุดพักเลย คร่ำเคร่งจดจ่ออยู่กับหนังสือกันมาก
ดังนั้นลักษณะเหตุการณ์จะคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อออกมาหรือแฝงเอาไว้นั้นคือ ความต่อเนื่อง
ตัวอย่างอื่นๆ เช่น
  • It has rained for three hours.
    ฝนตกมา 3 ชั่วโมงแล้ว (อาจจะเป็นการตกตลอด 3 ชั่วโมงติดต่อกันหรือตกแบบตกๆหยุดๆก็ได้)
  • It has been raining for three hours.
    ฝนตกติดต่อกันมา 3 ชั่วโมงแล้ว (ตกแบบไม่ขาดสาย)
** แต่ในบางกรณีถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นแล้ว และไม่ได้มีการดำเนินมาอย่างต่อเนื่องแต่ผลลัพธ์ยังมีอยู่ Tense ที่ใช้จะเป็น present perfect  เพราะบางเหตุการณ์เกิดขึ้นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ใครบางคนทำแก้วแตก ระยะเวลาที่ทำแก้วแตกใช้เวลาไม่นาน จึงไม่แสดงถึงความต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ของมันคือ แก้วใบนั้นแตกไปแล้ว ประโยคนี้จึงควรใช้ present perfect อย่างไม่ต้องสงสัย คือ Someone has broken the glass.
เกี่ยวเนื่องจากประเด็นนี้คือ ส่วนใหญ่ present perfect จะใช้ในเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นไปแล้ว และ present perfect continuous จะใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินมาแต่ยังไม่เสร็จสิ้น เช่น
  • Robert has washed his car.
    โรเบิร์ตล้างรถแล้ว      (เหตุการณ์เสร็จแล้วอาจจะเห็นภาพเป็นรถใหม่เอี่ยมของโรเบิร์ตเพราะผ่านการล้างมาแล้ว)
  • Robert has been washing his car since 10 o’clock.
    โรเบิร์ตกำลังล้างรถของเขาอยู่ตั้งแต่ 10 โมง (ล้างมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ อาจจะเห็นภาพโรเบิร์ตกำลังล้างรถอยู่)
** แต่ present perfect continuous ก็นำมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นแล้วได้เหมือนกัน เพื่อต้องการชี้ให้เห็นถึงร่องรอยหรือผลลัพธ์ของเหตุการณ์ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะได้เกิดเหตุการณ์มาอย่างต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เช่น เพื่อนของคุณอาจจะทักว่า
  • You look tired.
    คุณดูเพลียๆนะ      คุณก็ตอบเพื่อนไปว่า
  • I haven’t been sleeping properly last night.
    เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ (คือเน้นว่าไม่ได้นอนหลับสนิทแบบต่อเนื่อง หรือหลับๆตื่นๆเลยดูเพลีย)
สรุปได้ว่า ประเด็นหลักที่ทั้งสอง Tense นี้ต่างกันคือ ความต่อเนื่องของเหตุการณ์ ดังนั้นกริยาตัวใดที่ไม่แสดงความต่อเนื่อง เช่น arrive, stop, break เป็นต้น จึงเอามาใช้เป็น present perfect continuous ไม่ได้ และกริยาอีกกลุ่มที่นำมาใช้ใน present perfect continuous    ไม่ได้คือ กริยากลุ่มที่ไม่แสดงอาการการกระทำ (action verb) ซึ่งเป็นกริยาที่บอกความรู้สึก เช่น like, know, understand เช่น
  • Scientists have known about genetic coding in DNA since the early 1950.
    นักวิทยาศาสตร์ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับรหัสของยีนในดีเอ็นเอมาตั้งแต่ปี 1950
  • I have liked this guy for 4 years.
    ฉันชอบผู้ชายคนนี้มา 4 ปีแล้ว

** แต่ปกติ present perfect continuous อาจจะไม่ค่อยได้ใช้เหมือน present perfect แต่ถ้าเราเข้าใจการใช้ present perfect continuous แล้วเราจะใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษามากขึ้น

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สื่อสารภาษาอังกฤษ กับคนชาติอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา


ประเทศในกลุ่ม EU (สหภาพยุโรป)

แทบทุกประเทศสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ เพราะว่ามีการกำหนดเอาไว้ว่าประเทศสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรปต้องพูดภาษาอังกฤษได้ เยอรมันก็เช่นกันค่ะ แต่เป็นสำเนียงแบบ
American English เท่านั้นเอง บางประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอย่างเนเธอร์แลนด์ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี พวกนี้มีภาษาหลักของตัวเองแต่พูดภาษาอังกฤษได้เกือบทั้งประเทศค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าผมทอง ตาน้ำข้าว(หน้าตาเป็นฝรั่ง) จะสอนภาษาอังกฤษกันได้หมดทุกคนนะคะ

ประเทศในกลุ่มเอเชีย





คนไทยเก่งภาษาอังกฤษกว่าหลายๆ ประเทศ อย่างน้อยถึงจะพูดไม่ได้ แต่ก็พอฟังออกบ้างเล็กน้อย

ในขณะที่คนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซียที่เป็นเด็กมหาลัย กลับภาษาอังกฤษไม่กระดิก
ความจริงการพูดภาษาอังกฤษได้คล่องหรือไม่ ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าคนไทยโง่หรือประเทศไทยเจริญน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เลยนะคะ ไม่รู้ทำไมคนไทยชอบดูถูกคนไทยด้วยกันเองนัก ว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดี อยากจะให้ประเทศตัวเองเป็นอาณานิคมบ้าง จะได้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งๆ

อย่างประเทศญี่ปุ่น คนพูดภาษาอังกฤษได้มีไม่มาก แต่ประเทศเขาก็เจริญกว่าเราหลายเท่า ในขณะที่ประเทศในแถบแอฟริกาเรียกได้ว่าใช้ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ คนพูดกันได้อย่างน้อย 3 ภาษา คือภาษาถิ่น อังกฤษ และฝรั่งเศส แต่เค้าก็ไม่ได้เจริญไปกว่าเราสักเท่าไหร่ บางประเทศล้าหลังกว่ามากด้วยซ้ำ

ตัวภาษาก็แค่ความสามารถเสริมอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจคนชาติอื่นได้โดยไม่ต้องอาศัยล่ามแปลก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับมันจนกลายเป็นภาษาหลักที่สองของประเทศเรา ใครที่อยากทำงานเกี่ยวกับด้านภาษา แล้วจะฝึกฝนให้เชี่ยวชาญก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่คนไหนที่พูดไม่เก่ง หรือพูดไม่เป็น และไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ เราก็ไม่จำเป็นต้องดูถูกคนเหล่านั้น

(ยังมีต่อ รออ่านนะคะ...วารีนา)