วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

8 ประโยคภาษาอังกฤษแทนคำว่า “ฉันไม่รู้”

8 Ways to Say “I don’t know”
 พร้อมใช้ทันที เบื่อไหมคะ กับประโยค “I don’t know.” 

1. I have no idea/clue.
I have no idea. ฉันไม่รู้
 I have no idea ก็คือ I don't know เหมือนกันค่ะ
Example:
A: What time does the movie start?’
B: I have no idea.
เอ: หนังเริ่มกี่โมงหรอ?
บี: เราไม่รู้อะ
หรือจะพูดว่า I have no clue ก็ได้ บางครั้งก็สามารถแทนกันได้
2. I can’t help you there. น่าจะแปลว่า ไม่รู้จริง ๆ เค้าอาจจะไม่ได้ตั้งใจคาดคั้นให้เราช่วยก็ตาม
แต่บางทีhelp ก็ไม่ได้แปลว่าช่วยเสมอนะคะ
can’t help อันนี้หมายความว่า ไม่อาจกลั้น
I can’t help laughing. ก็หมายถึง ดิฉันไม่อาจจะกลั้นหัวเราะได้
Cannot help หรือ can’t help+Ving (หลังhelp ต้องเป็น verb+ ing เสมอนะคะ
 
I can’t help loving him. ดิฉันไม่อาจจะระงับรักเขาได้ หรือ
I cannot help hoping that he may return. ดิฉันอดหวังไม่ได้ว่าเขาอาจจะกลับมา

3. Beats me.  (Informal)
ไม่เป็นทางการ
That beats me
That beats me คล้าย ๆ กับจะจะตอบว่า ฉันยอมแพ้ว่ะ
A: When was the Bridge over the River Kwai built? สะพานข้ามแม่น้ำแควสร้างเมื่อไหร่วะ?
 B: That beats me.  
ประมาณว่า”จะบ้าเหรอ กุไม่รุ้”
A: What is the highest mountain in Thailand?
ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือภูเขาอะไร
B: That beats me.
4. I’m not really sure.
 ชั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
Example: 
A: Do you know where John’s new house
is?
B: I’m not sure.
เอ: เธอรู้ไหมว่าบ้านใหม่ของจอหน์อยู่ไหน?
บี: เราไม่แน่ใจอ่ะ
5. Your guess is as good as mine.
การคาดเดาของคุณก็พอกับของฉัน
ประโยคนี้จะประมาณว่า ฉันก็ได้แต่เดาเอาพอๆกะเธอ
Example: 
A: Do you think we will be able to book the restaurant for Friday?
B: Your guess is as good as mine.
เอ: เธอคิดว่าเราจะจองโต๊ะอาหารวันศุกร์ได้ไหม
บี: ฉันก็เดาๆเอาเหมือนเธออะ
6. Not as far as I know
เท่าที่รู้ก็ไม่นะ
Example: 
A: Has Tom sold his Toyota? I haven’t seen him driving it for a long time.
B: Not as far as I know
เอ: ทอมขายโตโยต้าของเขายัง? ฉันไม่เห็นเขาขับรถคันนั้นมานานละ
บี: เท่าที่รู้ก็ไม่นะ

7. I’ve been wondering that, too. ไม่รู้เหมือนกัน ชั้นก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน?
Example: 
A: Why is the traffic so bad today?
B: I’ve been wondering that, too.
เอ: ทำไมวันนี้รถติดจัง?
บี: ไม่รู้อะ ฉันก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันเลย
8. Don’t ask me!
ไม่ต้องมาถามฉันเลย ฉันไม่รู้
Example: 
A: How much does it cost to open a coffee shop?
B: Don’t ask me!
เอ: ถ้าจะเปิดร้านกาแฟต้องใช้เงินเท่าไหร่หรอ?
บี: อย่ามาถามฉันเลย ไม่รู้อะ



5 วลีในการการกล่าวขอโทษ

5 Phrases for Apologizing



1. I’m sorry that… [ex. I was so rude yesterday]
     ขอโทษที่เมื่อวานฉันหยาบคายกับคุณ
   Sorry ใช้แบบไม่เป็นทางการเท่าไหร่ อาจจะแปลว่า ขอโทษ หรือเสียใจก็ได้ (ไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดของผู้พูด)
"I'm sorry for your loss"  ผมเสียใจกับการสูญเสียของคุณ

2. It’s my fault. (= I am taking responsibility for the problem)
มันเป็นความผิดของฉันเอง( ปัญหานี้ฉันรับผิดก็แล้วกันนะ)
บางทีอาจจะไม่ใช่ แต่เพื่อพูดเพื่อความสุภาพ
3. Oops, sorry. (for very small problems)
อุ๊ย! ขอโทษจ้า (ใช้กับเรื่องเล็ก ๆ)

4. I should have… [ex. called you and told you I’d be late]
ฉันน่าจะ....( โทรมาบอกคุณก่อนว่าฉันจะมาสาย-กลับดึก บลา ๆๆๆ)
Should have + V.3=น่าจะ (Should Have + Past Participle)
ใช้พูดเมื่อเรารู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว(แก้ไขไม่ได้แล้ว)
ตัวอย่าง
should have called you sooner.
ชั้นน่าจะโทรหาคุณเร็วกว่านี้
You should have spoken to me before deciding.
คุณน่าจะพูดกับฉันก่อนตัดสินใจนะ(เมื่อตัดสินใจไปแล้ว)
Sarah talked all the way through the movie. I should not have invited her to the cinema.
ยัยซาร่าพูดตลอดเวลาจนหนังจบ ฉันไม่น่าชวนหล่อนมาดูด้วยเล้ย
I'm really tired today. I should not have stayed awake so late last night.
วันนี้เราโคตรเหนื่อยอ่ะ ไม่น่านอนดึกเลยเมื่อคืน
You shouldn't have shouted at her.
คุณไม่น่าไปตะคอกใส่เธออย่างนั้นเลย

5. (formal) I apologize for… [ex. the delay]
แบบมีพิธีการหน่อย ไอ อะพอโลไจ้ส์ ฟอร์.....
มีบางคนยังงง ๆ กับสองคำนี้
apology กับ apologize
Apology เป็นคำนามซึ่งแปลว่าคำขอโทษนั่นเอง
คำว่า
apologize มันเป็นคำกริยาซึ่งแปลว่าขอโทษนั่นเอง

 ตัวอย่างเช่น "
Do you accept my apology?(คุณจะรับคำขอโทษของผมได้ไหม )

I apologize for lying to you (ผมขอโทษที่โกหกคุณนะ )

(พื้นที่โฆษณา)
สินค้าและบริการดีไม่สู้มีหน้าเว็บสวยแจ่ม
หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าร้านค้า
หากดูรก ไม่สวย ไม่เป็นมืออาชีพ
ลูกค้าของคุณก็จะไม่ซื้อ เพราะคิดไปแล้วว่าร้านนี้ไม่น่าเชื่อถือ ดูไม่มืออาชีพ
พอแล้วหรือยังกับการสูญเสียลูกค้าจำนวนมากมาย
ให้กับคู่แข่งที่ไม่ได้มีดีไปกว่าคุณ แต่แค่ทำเว็บได้ดูมืออาชีพกว่าเท่านั้น


วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ที่มาของคำว่า Long Live the King

เพิ่มคำอธิบายภาพ
“Long Live the King” ไปที่ไหนก็เจอ ได้ยินเค้าพูดกันมา เราก็พูดตามกันไป แต่เคยสงสัยกันมั้ยว่า ‘เอ๊ะ..ประโยคนี้มันถูกแล้วหรอ’ (โรงเรียนไม่ยักกะเคยสอนเขียนแบบนี้เลย) นี่มันแกรมม่าร์ไหนหว่า ยิ่งอ่านยิ่งมึน เอาละวาระโอกาสดี ๆ แบบนี้ ผมขอมาอธิบายให้หายสงสัยกันดีกว่า จะได้ไปบอกรักพ่อ(หลวง) กันได้อย่างเต็มปากเต็มคำเต็มใจ ไม่ใช่เพราะท่อง ๆ กันมานะจ๊ะ
■ ทำไมไม่เติม s ใน Long Lives the King?
ถึงแม้ว่าประธานจะเป็น The King แต่จริง ๆ ประโยคนี้นี่มาจากประโยคอวยพรที่ว่า May the King live long จึงไม่ต้องเติม s แต่ถ้าเป็นประโยคธรรมดา ๆ ทั่วไปอย่าง The King lives long. (อันเนี๊ย ต้องเติม s) เพราะงั้น Long Live the King. น่ะถูกแล้ว ไม่ใช่ Long Lives the King. นะ (แล้วใครยังคิดว่าประธานคือ Long นี่ พ่อตบดิ้นเลย!)
ว่าแต่ทำไมการจัดเรียงประโยคมันแปลก ๆ ละคะ?? – เดี๋ยว ๆ ยังไม่จบ จัยร่ม ๆ
■ ตกลงว่า live ในที่นี้คือ ลิฟว์หรือไลฟว์?
นี่ยังสับสนเรื่อง live(ลิฟว์) กับ live(ไลฟว์) กันอยู่อีกเหรอเนี่ยย…พูด!!! – จริง ๆ แล้ว คำนี้อ่านได้ 2 แบบนะ แล้วก็มี 2 ความหมายด้วย อ่านผิดที..ชีวีบรรลัยเลย (บรรลัยมานานแล้ว 55)
1) อ่านว่า Live (ลิฟว์) แปลว่า ‘มีชีวิตอยู่’ เช่น I live here. (ชั้นอยู่ที่นี่)
2) อ่านว่า Live (ไลฟว์) จะแปลว่า ‘สด’ เหมือน Live concert อะไรงี้
แต่ในประโยคนี้ความหมายแรกนะจ๊ะ
■ ทำไมประโยคขึ้นต้นด้วย Long (หาก long ไม่ใช่ประธาน)?
เป็นคำถามที่ดีครับ! ประโยคสไตล์นี้เค้าเรียกว่า Inversion (เอา Verb มาก่อน Subject) ก็อย่างที่บอกว่าประโยคดั้งเดิมมันมาจาก May the King live long. (ขอให้พระองค์ทรงมีอายุยืนนาน) และเนื่องจาก(ในทางภาษาศาสตร์) เค้าต้องการความสละสลวยและเน้นย้ำความหมาย เค้าจึงสลับเอา Long ไปไว้ข้างหน้า เพื่อเน้นย้ำ แถมละ May ออก(ซะอย่างงั้น) ก็เลยกลายเป็น Long Live the King! (ลอง ลิฟว์ เดอะ คิง) อย่างที่เราพูดติดปากกันนั่นเองจ้า
วันพ่อปีนี้พวกผมไม่มีของขวัญอะไรที่พิเศษ นอกจากหัวใจดวงน้อย ๆ ที่ขอให้พ่อหลวงของคนไทยทรงมีพลานามัยแข็งแรง อายุยิ่งยืนนานครับ
นายทีม Ft. นายต่ายน้อย

Do you know the difference between DO and MAKE?

Do you know the difference between DO and MAKE?
Do และ Make ใช้ต่างกันอย่างไร?? 
=========================================
ทั้ง Do และ Make ต่างก็เป็น 2 คำที่มีความหมายใกล้เคียงกันมากจนบ่อยครั้งทำให้สับสนนะครับ ทั้งที่จริงแล้ว 2 คำนี้มีวิธีการใช้แตกต่างกันชัดเจนดังนี้ครับผม

ใช้ Do เมื่อทำกิจกรรม
เราจะใช้ "do" เพื่อสื่อความหมายถึงการทำงานหรือกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ลองสังเกตดูจากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า กิจกรรมที่ยกมานั้นไม่ได้ทำให้เกิดเป็น ‘ผลงานหรือชิ้นงานใหม่’
- do homework
- do housework
- do the ironing
- do the dishes
- do a job
ใช้ Do เมื่อต้องการพรรณนาความ
เราสามารถใช้ "do" เมื่อต้อง การพรรณนาถึงการกระทำหรือกิจกรรมทั่วไปโดยที่ไม่ได้ระบุชัดเจน การใช้ "do" ลักษณะนี้มักพบร่วมกับ something, nothing, any thing, everything หรือคำอื่น ๆ ที่มีความหมายทำนองเดียวกัน
- I’m not doing any thing today.
- He does everything for his mother.
- She’s doing no- thing at the moment.
คำสำนวนที่ใช้ร่วมกับ Do
ในภาษาอังกฤษมีสำนวนหลายคำที่ใช้ร่วมกับ "do" โดยอยู่ในรูป do+noun combinations เช่น
- do one’s best ทำให้ดีที่สุด
- do good ทำความดี
- do harm ทำร้ายร่างกาย ทำชั่ว
- do a favour ช่วยเหลือ
- do business ทำธุรกิจ
ใช้ Make เมื่อทำแล้วเกิดเป็นผลงานใหม่
เราจะใช้ ‘make’ ในความหมายของการก่อสร้าง สร้าง รังสรรค์ ผลิต ฯลฯ โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อทำแล้วได้เป็นผลผลิตที่สามารถจับต้องได้ เช่น
- make food
- make a cup of tea/coffee
- make a mess
คำสำนวนที่ใช้ร่วมกับ Make
สำนวนที่ใช้กับ "make" หลายคำก็สามารถใช้ "do" แทนได้ โดยเขียนอยู่ในรูปเดียวกันคือ make+noun combinations ซึ่งสำนวนที่ใช้กันบ่อยก็มีดังต่อไปนี้
- make plans วางแผน
- make an exception ให้เป็นกรณีพิเศษ
- make arrangements วางตารางงาน
- make a telephone call โทรศัพท์ถึง
- make a decision ตัดสินใจ
- make a mistake ทำผิด
- make noise ทำเสียงรบกวน
- make money หากำไร ทำเงิน
- make an excuse ขอโทษ
- make an effort พยายาม หมั่นเพียร จ้า

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

English 2 Thai แนะนำ...Trick การอ่านฉลากเครื่องสำอางภาษาอังกฤษ

ในสมัยนี้เครื่องสำอางหรือเครื่องประทินผิวต่างๆ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว “ฉลากเครื่องสำอาง” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ตรงกับความต้องการของเรา
แต่ฉลากเครื่องสำอางส่วนใหญ่มักเป็นภาษาอังกฤษ แม้จะมีฉลากภาษาไทยอยู่บ้างก็ไม่ละเอียด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนละเลยที่จะอ่าน วันนี้เราจึงได้นำวิธีการง่ายๆและ Tricks เล็กๆน้อยๆในการอ่านฉลาก “เครื่องสำอางภาษาอังกฤษ” มาฝากค่ะ

Trick ข้อที่ 1: อันดับแรก… อย่าลืมดูวันหมดอายุ

ไม่ว่า Cosmetic หรือ Skincare ชิ้นนั้นจะมีส่วนผสมที่ดีเลิศขนาดไหน  แต่ถ้าหมดอายุก็คงไร้ความหมาย   ดังนั้นปราการด่านแรกที่เราควรอ่านเมื่อจะซื้อเครื่องสำอางสักชิ้นก็คือ “วันหมดอายุ” ซึ่งมักเขียนคู่อยู่กับวันผลิต และมักจะเขียนด้วยตัวย่อภาษาอังกฤษ  จึงทำให้หลายคนงงว่า อักษรย่อตัวไหนคือวันหมดอายุหรือวันผลิตกันแน่ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจข้อนี้กันค่ะ
วันหมดอายุ มีตัวย่อคือ EXP หรือ Exp. date ย่อมาจาก Expiry date หรือ Expiration date ซึ่งหมายถึง วันหมดอายุนั่นเอง ส่วนอีกคำหนึ่งที่มักอยู่คู่กันคือ MFG ย่อมาจากคำว่า Manufacturing date แปลว่าวันที่ผลิต ซึ่งสินค้าบางชนิด โดยเฉพาะเครื่องสำอาง มักระบุมาเฉพาะวันที่ผลิต เลยทำให้เกิดความสับสนของผู้ซื้อว่า ตัวเลขที่ระบุมาเป็นวันหมดอายุหรือวันที่ผลิตกันแน่
เรามี Tricks ง่ายๆในการจำมาฝากค่ะ  โดยให้ยึดตัว M เป็นหลัก คิดซะว่า M ย่อมาจาก Made ซึ่งแปลว่า “ทำ” ดังนั้นถ้ามีตัวย่อ M ให้คิดไว้เลยว่าต้องหมายถึงวันที่ผลิตแน่นอน

⇇ แต่อายุการใช้งานก็ตามรูปด้านซ้ายนะคะ ว่าเราควรจะโยนมันทิ้งหลังจากใช้ไปได้นานเท่าไหร่

Trick ข้อที่ 2 : active ingredient เครื่องสำอางจะได้ผลหรือไม่ให้ดูตรงนี้!!

active ingredient ก็คือ สารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอาง  ลองสังเกตดูดีจะพบว่า เครื่องสำอางเกือบทุกชนิด มีส่วนผสมอันดับแรกเป็นน้ำ water / Aqua (คำว่า Aqua เป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษาละตินซึ่งหมายถึง ที่เกี่ยวกับน้ำ หากเราทราบและจำรากศัพท์ได้เยอะ ก็จะดีที่จะช่วยเราในการเดาความหมายของคำศัพท์) ซึ่งจะช่วยในการทำละลายและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวตามมาด้วยสารเคมีอีกกลุ่ม และมีชื่อสารสกัดจากธรรมชาติ อย่างคำว่า Lemon Extract, Orange Extract , Ginger Extract คำว่า Extract หมายถึง สกัดออกมา
ดังนั้นคำที่ลงท้ายด้วย Extract จึงหมายถึงสารสกัดจากพืชชนิดนั้นๆส่วนสาวๆที่อยากมีผิวขาวใส  ลองมองหาส่วนผสมพวก ascorbic acid (วิตามินซี), (licorice extract) สารสกัดจากชะเอมเทศ, alpha hydroxyl acid (กรดผลไม้) หรือ Niacin amide (วิตามินบี) ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยผลัดเซลผิวหรือช่วยลดการสร้างเมลานินของผิวได้

นอกจากนี้ เครื่องสำอางทุกชนิดย่อมใส่สารกันบูด ซึ่งสามารถสังเกตได้จากคำว่า Preservative สารกันบูดก็มีหลายชนิดในท้องตลาด ทั้งแบบ Synthetic Preservatives ที่แปลว่าสารสังเคราะห์  และแบบ Natural Preservative  ซึ่งแปลว่าสกัดจากมาจากพืช หากเราสามารถเลือกชนิดที่มาจากธรรมชาติได้ ก็ย่อมปลอดภัยกับผิวมากขึ้น

Tricks ข้อที่ 3 :สารเคมีควรหลีกเลี่ยง

สารเคมีที่ผสมลงไปในเครื่องสำอาง ก็เพื่อให้ส่วนผสมต่างๆออกฤทธิ์ได้เต็มที่ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่สารเคมีทุกชนิดที่จะมีประโยชน์ต่อผิว หากพบชื่อสารเคมีเหล่านี้แนะนำให้ระวังกันไว้ก่อน เพราะเป็นสารเคมีที่เคืองผิว ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
– Petrolatum หรือ Petroleum หรือ Mineral Oil เป็นน้ำมันบริสุทธิ์ที่ผ่านสกัดมาจากน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งมีโมเลกุลใหญ่และอาจอุดตันผิวได้
– Synthetic Fragrance  หมายถึง น้ำหอม  อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน
– Synthetic Color หมายถึง สีสังเคราะห์  ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจมีมีสารตะกั่วและปรอทปนเปื้อน

Tricks ข้อที่ 4 ศัพท์ควรรู้เกี่ยวกับเครื่องสําอาง

Anti-aging : เครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติต่อต้าน ลบเลือน ลดหรือชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีคำว่า Age-defense, Anti-wrinkle, Time Defiance ที่มีความหมายเดียวกัน
Fragrance Free : คือปราศจากส่วนผสมที่เป็นน้ำหอม (ที่สังเคราะห์จากสารเคมี)
Allergy Tested : หากมีคำนี้ก็แสดงว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่แพ้
Non-alcohol : ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
Against Animal Testing :  ไม่มีการทดสอบกับสัตว์ทดลอง 
Firming/Lift :
 เป็นคุณสมบัติที่ช่วยยก กระชับผิวให้เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น
Oil Control/Shine Control : เครื่องสำอางที่ช่วยควบคุมความมัน
Anti-oxidant : มีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
Waterproof :  สามารถกันน้ำได้หรือไม่ละลายน้ำ
White/Whitening : ปรับสีผิวให้ขาวขึ้น
UV Filter : สามารถป้องกันรังสีอัลต้าไวโอเล็ตจากแสงแดดได้
Hydrating Cream :
  ครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวโดยไม่ทิ้งความมันไว้บนผิว
สินค้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคต่างก็จัดเป็นหนึ่งในสื่อภาษาอังกฤษที่ใกล้ตัวเราที่สุด โดยเฉพาะเครื่องสำอาง แม้ว่าผลิตภัณฑ์บางชนิดจะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ไม่กี่คำก็ตาม  แต่ถ้าเราหมั่นสังเกตและฝึกฝนบ่อยๆ  ก็จะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของเราได้ 
แม้จะไม่ได้ความรู้ด้านไวยากรณ์มากนัก แต่ก็ช่วยให้เรารู้ศัพท์ใหม่ๆมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราสามารถอ่านฉลากภาษาอังกฤษของสินค้าได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เราก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้อย่างถูกต้องอีกด้วย  เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวเลยล่ะ
ปิดท้ายด้วย ความจริงที่ว่า เสื้อผ้าเป็นแฟชั่น เป็นอาภรณ์สวมใส่ มาแล้วก็ไป แต่ ผิวของเรา คลุมร่างกายเราตลอดชีวิต ฉะนั้นควรให้ความสำคัญและดูแลมันให้ยิ่งกว่าเสื้อผ้านะคะ


CR: http://www.dailyenglish.in.th/

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Congratulations! คุณคือผู้โชคดีได้รับโอกาสในการมีชีวิตที่ดีขึ้น


เพราะวันนี้เรานำข้อคิดการใช้ชีวิตจากหนังสือ Life little instruction book ของ H Jackson Brown, Jr มาแปลให้อ่านกันค่ะ
หากได้อ่านและปฏิบัติตามแล้ว คุณจะรู้เลยว่าแท้จริงแล้วชีวิตมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยหากเราใช้มันเป็น

ป.ล. เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่านเราจะไม่แปลตรงตัวเป๊ะๆนะคะ

คลิก อ่านเพิ่มเติม เลยค่ะ คุณจะไม่ผิดหวัง
↓ ↓ ↓ ↓ ↓ ↓ ↓

20 คำศัพท์ภาษาอังกฤษยุคใหม่ที่คนยุคนี้เท่านั้นจะเข้าใจ

ภาษาเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่งและเกิดการพัฒนาตลอดเวลา จะเห็นได้ว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบันในภาษาไทยได้มีคำใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมาย ภาษาอังกฤษเองก็เช่นกัน โดยคำใหม่ๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมักเป็นผลมาจากพฤติกรรมในปัจจุบันที่คนชอบทำกันจนติดเป็นนิสัย สุดท้ายเลยเกิดเป็นคำเรียกพฤติกรรมนั้นหรือคนประเภทนั้นขึ้นมา ซึ่งในยุคนี้ส่วนใหญ่คำใหม่ๆที่เกิดขึ้นมามักจะเป็นคำเปรียบเทียบหรือพาดพิงถึงอุปกรณ์ไอที โลกอินเตอร์ หรือโซเชี่ยลมีเดียที่กำลังได้รับความนิยมเป็นต้น

like-shock


                                  เมื่อโพสของคุณได้จำนวนไลค์(หรือแชร์) มากกว่าที่คุณคาดไว้ หรือ
                          My new handsome photo got only 3 likes
                          but my dog's photo got 50 likes.
                          I'm like-shocked!
                           รูปหล่อรูปใหม่ของฉันได้แค่ 3 ไลค์เองอะ
                           แต่รูปหมาที่ฉันลงดันได้ตั้ง 50 ไลค์
                           ฉันนี่ช็อคไปเลยเนี่ย (ช็อคเพราะจำนวนไลค์รูปหมามากกว่าที่คิดไว้)

phone yawn

ปรากฏการณ์ที่เมื่อคนหนึ่งคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
ทำให้คนรอบข้างทำตาม เปรียบเสมือนการหาว
ที่เมื่อคนหนึ่งหาวคนอื่นๆที่เห็นก็จะรู้สึกว่าอยากหาวตามๆกันไป
A phone yawn just happened with me yesterday. I took my phone out to check for new messages and the people next to me started taking their phones out of their pockets too.
เมื่อวานนี้เกิดปรากฏการณ์ phone yawn ขึ้นกับฉันล่ะ ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คข้อความในมือถือ แล้วทีนี้คนที่นั่งติดกันกับฉันก็เริ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาด้วย

slide to unlock

ใช้เรียกผู้หญิงที่ทำตัวง่าย เปรียบเสมือนไอโฟนที่
แค่สไลด์ก็ปลดล็อคได้แล้ว ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก
I don't like that girl, she is kind of a slide to unlock.
ผมไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นหรอก เธอทำตัวง่ายไปน่ะ

gloatgram


                            โพสในอินสตราแกรมหรือโซเชี่ยลมีเดียอื่นๆเพื่ออวดว่าชีวิตดี ชีวิตมีความสุข
                             ส่วนใหญ่เป็นรูปเกี่ยวกับอาหารหรือรูปท่องเที่ยว
                       Ignore it, it's just one of her gloatgrams.
                        อย่าไปสนใจเลย ก็แค่โพสที่เอาไว้อวดชาวบ้านอีกโพสหนึ่งของเธอแค่นั้นแหละ

fro day


                                 The day you finally realize you are in desperate need of a haircut                                                                           วันที่เรานึกขึ้นได้ว่า เราควรไปตัดผมได้แล้ว
                                 I'm having a Fro day and I need to get a haircut.                                                                         ฉันมี Fro day และฉันต้องไปตัดผมละล่ะ

bio-illogical clock


การที่ร่างกายตื่นขึ้นมาอย่างอัตโนมัติในวันหยุด เพราะร่างกายเคยชินกับเวลาที่เราตื่นไปทำงานในวันปกติ
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับbio-illogical Clock ที่นี่
                        Susan: Today is Saturday. Why did you wake up so early?
                        ซูซาน: วันนี้มันวันเสาร์นะ คุณตื่นมาทำไมแต่เช้า?
                        Adam: It's just my bio-illogical clock. I'm going back to bed now.
                        อดัม: ร่างกายมันตื่นขึ้นมาเอง(ด้วยความเคยชิน)อะ ผมจะไปนอนต่อเดี๋ยวนี้ล่ะ

bromance


                       ความรักอย่างลึกซึ้งระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่ไม่ใช่เกย์
                     Our bromance is gonna last forever.
                     ความรักฉันท์พี่น้องของเราจะคงอยู่ตลอดไป

coffee face



                                     หน้าเวลาโกรธ หรือไม่พอใจกับอะไรสักอย่าง
                           เปรียบเทียบกับหน้ายุ่งๆของคนที่ติดกาแฟแต่ยังไม่ได้ดื่มกาแฟในตอนเช้า
                    Yesterday, I helped Anne with her presentation, but all I got was the coffee face.
                    เมื่อวานนี้ฉันช่วยแอนรายงาน แต่เธอกลับทำหน้าบึ้งใส่ฉันอย่างเดียวเลย

textretary

                             คำนี้เล่นคำกับคำว่า text(พิมพ์ข้อความ) และ secretary(เลขา) นำมารวมกัน
                         เพื่อสื่อความหมายถึงคนที่ทำหน้าที่พิมพ์ทุกอย่างที่เจ้าของโทรศัพท์สั่งให้พิมพ์
                           ขณะที่เจ้าของโทรศัพท์ขับรถอยู่นั่นเอง
                     Be my textretary, please. I can't drive and text in the same time.
                    ช่วยทำหน้าที่เป็นคนพิมพ์มือถือแทนฉันหน่อยได้ไหม
                    ฉันขับและพิมพ์พร้อมๆกันไม่ได้อะ

to computer-face

คำนี้เปรียบเทียบการเพ่ง จ้อง หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังยุ่งกับงานมาก ทั้งที่อาจจะไม่ได้ทำงานจริงๆก็ได้
He computer-faced facebook all this morning, but his boss thought he was working.
เขาทำหน้าเครียดเล่นเฟสบุ๊คทั้งเช้าเลย แต่เจ้านายของเขานึกว่าเขาทำงานอยู่

name ambush

เหตุการณ์เมื่อคุณพบกับคนที่คุณรู้จัก แต่คุณจำชื่อเขาไม่ได้ซะงั้น
Sorry, it's a name ambush, I don't remember your name. What's your name again?
ขอโทษนะ ฉันจำชื่อนายไม่ได้อะ นายชื่ออะไรนะ

Facebook minute

คือการไปเช็คเฟสบุ๊ค โดยที่ตอนแรกกะว่าจะไปเช็คแค่การแจ้งเตือนหรือข้อความแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่สุดท้ายจะหายไปนานมาก
Let me take my Facebook minute!
ขอเช็คเฟสแป๊ปนะ (แต่เป็นอันรู้กันว่ามันไม่ใช่แป๊ปเดียวแน่ๆ)

domestic blindness

อาการที่หาของที่เราต้องการไม่เจอทั้งที่จริงๆมันก็อยู่ตรงหน้าเรานั่นแหละ แต่ไม่ได้สังเกตเห็นจนกระทั่งมีคนมาชี้หรือหยิบให้ดูถึงจะรู้ตัว มักจะเกิดขึ้นจากการหาของใช้ในบ้าน
Anne: Er, Dan. Have you taken my phone with you to work? I couldn't find it anywhere in the house.
แอน: เอ่อ แดน คุณได้เอาโทรศัพท์ของฉันติดไปที่ทำงานคุณด้วยรึเปล่าเนี่ย ฉันหาทั่วบ้านแล้วไม่เจอเลย
Dan: What are you talking about? You are talking with me using your phone now.
แดน: คุณหมายความว่าไง นี่คุณก็กำลังใช้โทรศัพท์คุณคุยกับผมอยู่นะ
Anne: Oh, yeah, probably I must have a case of domestic blindness!
แอน: อ้าว จริงด้วย สงสัยฉันจะเป็นโรค domestic blindness เข้าให้แล้วล่ะ

cougar

ผู้หญิงที่มีอายุค่อนข้างมากแล้ว ประมาณ 35 ปีขึ้นไป แต่ชอบผู้ชายหนุ่มๆ เด็กๆที่อายุน้อยกว่า ผู้หญิงเหล่านี้มักจะมีเสน่ห์ น่าดึงดูด มีความมั่นใจ แต่มักจะชอบคบกับคนหนุ่มเหล่านั้นเพื่อความสนุกโดยไม่คิดจะมีความสัมพันธ์จริงจัง
She just wants to have fun with that young guy, she is a cougar.
เธอก็แค่อยากสนุกกับเด็กหนุ่มนั่นแค่นั้นแหละ(แค่อยากสนุก ไม่ได้คิดจริงจัง) เธอเป็นพวกชอบเด็กหนุ่มน่ะ

man cave


ห้องหรือพื้นที่สำหรับผู้ชายเพื่อที่จะทำกิจกรรมของผู้ชายเท่านั้นโดยไม่ถูกรบกวน ห้องหรือพื้นที่นี้ปกติแล้วจะถูกตกแต่งโดยผู้ชายและถูกใช้เพื่อป้องกันการรบกวนจากผู้หญิง
My son likes to hide in his man cave playing his online games.
ลูกชายฉันนะ ชอบซ่อนตัวอยู่ในห้องเล่นแต่เกมส์ออนไลน์

ghost post

เมื่อมีคนโพสบนหน้าเฟสบุ๊คของคุณ หรือคอมเม้นท์ในสเตตัส แล้วคุณยังได้รับการแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊ค แต่เมื่อคุณเปิดเข้าไปดูกลับไม่เห็นโพสหรือคอมเม้นท์นั้นเพราะเจ้าของโพสได้ลบโพสออกไปแล้วก่อนที่คุณจะเปิดดู เปรียบเสมือนโพสผี ที่คุณได้รับแจ้งเตือนแต่เปิดดูแล้วกลับไม่มี
Again, Jenny just left a ghost post on my facebook wall. I wonder what she wrote.
อีกละ เจนนี่ทิ้งโพสผีไว้ในเฟสบุ๊คชั้นเนี่ย สงสัยจริงๆว่าตอนแรกเธอโพสอะไรไว้

frenemy

คนที่ทำเหมือนเป็นเพื่อนกัน ทำกิจกรรมร่วมกันได้ ไปไหนมาไหน กินข้าวด้วยกัน เหมือนสนิทกันดี แต่จริงๆแล้วต่างฝ่ายก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่ค่อยชอบอีกฝ่าย อาจมีการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกันอยู่ลึกๆ
Eve is my frenemy, I never trusted her even a minute.
อีฟเป็นเพื่อน(ที่เราต่างไม่ชอบกัน)ของฉัน ฉันไม่เคยเชื่อใจยัยนั่นเลยแม้แต่นาทีเดียว

iFinger

คำนี้เป็นการเล่นคำมาจากโทรศัพท์หรืออุปกรณ์ไอทีที่ผลิตโดยบริษัทApple อาทิ iPhone iPad และลักษณะการกินของคนในปัจจุบันที่ชอบกินไปและเล่นโทรศัพท์ไปด้วย ทำให้เราต้องระวังนิ้วของเราไว้อย่างน้อยหนึ่งนิ้วเพื่อสไลด์หน้าจอมือถือ โดยเรียกนิ้วนั้นว่า iFinger
Sam is eating fried chicken - "I don't want to make my pinky dirty because I'm using Facebook and it's my iFinger."
ขณะที่แซมกำลังกินไก่ทอดอยู่ - "ฉันไม่อยากทำให้นิ้วก้อยสกปรกไง เพราะฉันเล่นเฟสบุ๊คอยู่ และนิ้วนี้เป็น iFingerของฉัน (หมายถึงนิ้วที่ใช้สไลด์หน้าจอโทรศัพท์)"

push pen anxiety

อาการที่กดปากกาให้มีเสียง คลิ้กๆๆๆๆ ไปมาเวลาเครียดหรือใช้ความคิดมากๆ
This is so annoying! Are you having push pen anxiety? Please just stop, I can't do my homework.
น่ารำคาญมากเลย! นายมีอาการที่เครียดแล้วต้องกดปากกาใช้ไหมเนี่ย ได้โปรดหยุดเหอะ ฉันทำการบ้านไม่ได้เลย

screen saver

อาการเหม่อลอย หรือฝันกลางวันบนหน้าของบุคคล ที่เปรียบเสมือนกับหน้าจอ screen saver บนโทรศัพท์
Paul has his screen saver on, he looks thousand miles away.
พอลกำลังเหม่ออยู่ ดูท่าทางเขาจะเหม่อไปไกล(เป็นพันๆไมล์)เชียว
จะเห็นได้ว่าการเรียนภาษาอังกฤษนั้นไม่ใช่แค่เพียงท่องตำรา แต่ยังรวมไปถึงการติดตามข่าวสารหรืออัพเดตเกี่ยวกับภาษาเพื่อที่จะสามารถใช้ภาษานั้นๆได้อย่างทันยุคทันสมัย และไม่งงหรือสับสนเวลาได้ยินศัพท์ใหม่ๆเหล่านี้ในวงสนทนาอีกด้วย