วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

การใช้ past continuous and past simple

การใช้ past continuous & past simple
สอง Tense นี้ใช้พูดถึงเหตุการณ์ในอดีตเหมือนกัน ตามหลักแล้ว past continuous tense จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต เช่น He was watching football match at 8 p.m. yesterday. และ past simple จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดแล้วจบแล้วในอดีตโดยมีการระบุเวลาที่แน่นอน เช่น I called her last night. แต่เมื่อนำมาสอง Tense เจ้าปัญหานี้มาใช้ร่วมกัน หลักการใช้จะเป็นดังนี้ค่ะ
1. Past continuous tense ==> พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังเกิดอยู่ (ในอดีต)
2. Past simple tense ==> เหตุการณ์ที่เกิดทีหลัง หรือเข้ามาขัดจังหวะ
ตัวอย่างเช่น
A car hit the dog as it was running on the road.
  • รถยนต์คันหนึ่งชนหมา ขณะที่มันกำลังวิ่งบนถนน

(หมากำลังวิ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนและกำลังเกิดขึ้นอยู่ จึงใช้ past continuous และรถมาชนหมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดที่หลังและมาขัดจังหวะ จึงใช้ past simple)

  •  My mom cut her finger while she was cooking.
    แม่ของฉันทำมีดบาดนิ้ว ขณะที่หล่อนกำลังทำอาหาร
    (แม่กำลังทำอาหารเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน จึงใช้ past continuous และมีดบาดนิ้วเป็นเหตุการณ์ที่เกิดที่หลังและมาขัดจังหวะ จึงใช้ past simple)

  • was swimming when the shark came.
    ฉันกำลังว่ายน้ำตอนที่ปลาฉลามมา
  • ** ในประโยคข้างบนจะสังเกตว่ามีคำเชื่อม while กับ as เชื่อมสองประโยคนี้เข้าด้วยกันแปลว่า ในขณะที่ และ when แปลว่า ตอนที่  โดยที่
  • ==> ประโยคที่อยู่หลัง while, as  (ขณะที่)   ใช้ past continuous
  • ==> ประโยคที่อยู่หลัง when  (เมื่อ, ตอนที่) ใช้ past simple

  • ***  วิธีการใช้สอง tense นี้ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า กริยาที่ใช้กับ past continuous tense ได้นั้นจะต้องเป็นกริยาที่เกิดเป็นระยะเวลานานๆ ได้ เช่น sleep, take a shower, have dinner, walk, run, eat, teach, cry, etc. แต่กริยาที่ใช้กับ past simple นั้นจะเป็นกริยาที่เกิดได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เช่น arrive, cut, hear, call, ring, hit, see, etc

ความแตกต่างระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous


ความแตกต่างระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous
เรื่อง Tense เป็นปัญหายุ่งยากในการเรียนภาษาอังกฤษมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Tense ที่ใกล้เคียงกันมักจะสร้างความสับสนเวลาใช้ว่าจะเลือกใช้ Tense ไหนดี แล้วมันต่างกันอย่างไร ในที่นี้จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง present perfect กับ present perfect continuous tense
โครงสร้างของสอง Tense นี้ก็ใกล้เคียงกัน คือ
Present perfect :  ประธาน + have / has + V3
Present perfect continuous : ประธาน + have / has + been + Ving
** จำง่ายๆว่า ถ้าเป็น continuous ปุ๊บจะต้องมี Ving อย่างแน่นอน


หลักการใช้ของทั้งสอง Tense นี้เนื่องจากว่ามันเป็น perfect tense ทั้งคู่ เหตุการณ์ที่มันจะเกี่ยวข้องด้วยก็จะเป็นเหตุการณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่!! Present perfect continuous tense จะเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์มากกว่า ฉะนั้นจะเลือกใช้ tense ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับนัยยะของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ โดยถ้าหากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบต่อเนื่อง หรือ ทำแบบไม่หยุดพักให้ใช้ present perfect continuous เพื่อที่คนฟังจะได้เห็นภาพของความต่อเนื่อง ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้ดูค่ะ
  • The children have studied for their exam since this morning. (present perfect)
  • The children have been studying for their exam since this morning. (present perfect continuous)
ประโยคแรก เด็กๆอ่านหนังสือเตรียมสอบกันตั้งแต่เมื่อเช้าคนฟังก็จะเห็นภาพว่าเด็กนั่งอ่านหนังสือกัน อาจจะอ่านบ้าง พักบ้าง เล่นบ้าง แต่อ่านกันตั้งแต่เช้าประโยคที่สอง แปลเหมือนกัน แต่คนฟังอาจจะเห็นภาพว่าเด็กๆนั่งอ่านกันมาตั้งแต่เช้าโดยไม่หยุดพักเลย คร่ำเคร่งจดจ่ออยู่กับหนังสือกันมาก
ดังนั้นลักษณะเหตุการณ์จะคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ผู้พูดต้องการจะสื่อออกมาหรือแฝงเอาไว้นั้นคือ ความต่อเนื่อง
ตัวอย่างอื่นๆ เช่น
  • It has rained for three hours.
    ฝนตกมา 3 ชั่วโมงแล้ว (อาจจะเป็นการตกตลอด 3 ชั่วโมงติดต่อกันหรือตกแบบตกๆหยุดๆก็ได้)
  • It has been raining for three hours.
    ฝนตกติดต่อกันมา 3 ชั่วโมงแล้ว (ตกแบบไม่ขาดสาย)
** แต่ในบางกรณีถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นแล้ว และไม่ได้มีการดำเนินมาอย่างต่อเนื่องแต่ผลลัพธ์ยังมีอยู่ Tense ที่ใช้จะเป็น present perfect  เพราะบางเหตุการณ์เกิดขึ้นแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ใครบางคนทำแก้วแตก ระยะเวลาที่ทำแก้วแตกใช้เวลาไม่นาน จึงไม่แสดงถึงความต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ของมันคือ แก้วใบนั้นแตกไปแล้ว ประโยคนี้จึงควรใช้ present perfect อย่างไม่ต้องสงสัย คือ Someone has broken the glass.
เกี่ยวเนื่องจากประเด็นนี้คือ ส่วนใหญ่ present perfect จะใช้ในเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นไปแล้ว และ present perfect continuous จะใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินมาแต่ยังไม่เสร็จสิ้น เช่น
  • Robert has washed his car.
    โรเบิร์ตล้างรถแล้ว      (เหตุการณ์เสร็จแล้วอาจจะเห็นภาพเป็นรถใหม่เอี่ยมของโรเบิร์ตเพราะผ่านการล้างมาแล้ว)
  • Robert has been washing his car since 10 o’clock.
    โรเบิร์ตกำลังล้างรถของเขาอยู่ตั้งแต่ 10 โมง (ล้างมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ อาจจะเห็นภาพโรเบิร์ตกำลังล้างรถอยู่)
** แต่ present perfect continuous ก็นำมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เสร็จสิ้นแล้วได้เหมือนกัน เพื่อต้องการชี้ให้เห็นถึงร่องรอยหรือผลลัพธ์ของเหตุการณ์ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะได้เกิดเหตุการณ์มาอย่างต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เช่น เพื่อนของคุณอาจจะทักว่า
  • You look tired.
    คุณดูเพลียๆนะ      คุณก็ตอบเพื่อนไปว่า
  • I haven’t been sleeping properly last night.
    เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ (คือเน้นว่าไม่ได้นอนหลับสนิทแบบต่อเนื่อง หรือหลับๆตื่นๆเลยดูเพลีย)
สรุปได้ว่า ประเด็นหลักที่ทั้งสอง Tense นี้ต่างกันคือ ความต่อเนื่องของเหตุการณ์ ดังนั้นกริยาตัวใดที่ไม่แสดงความต่อเนื่อง เช่น arrive, stop, break เป็นต้น จึงเอามาใช้เป็น present perfect continuous ไม่ได้ และกริยาอีกกลุ่มที่นำมาใช้ใน present perfect continuous    ไม่ได้คือ กริยากลุ่มที่ไม่แสดงอาการการกระทำ (action verb) ซึ่งเป็นกริยาที่บอกความรู้สึก เช่น like, know, understand เช่น
  • Scientists have known about genetic coding in DNA since the early 1950.
    นักวิทยาศาสตร์ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับรหัสของยีนในดีเอ็นเอมาตั้งแต่ปี 1950
  • I have liked this guy for 4 years.
    ฉันชอบผู้ชายคนนี้มา 4 ปีแล้ว

** แต่ปกติ present perfect continuous อาจจะไม่ค่อยได้ใช้เหมือน present perfect แต่ถ้าเราเข้าใจการใช้ present perfect continuous แล้วเราจะใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษามากขึ้น

วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สื่อสารภาษาอังกฤษ กับคนชาติอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา


ประเทศในกลุ่ม EU (สหภาพยุโรป)

แทบทุกประเทศสามารถพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ เพราะว่ามีการกำหนดเอาไว้ว่าประเทศสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรปต้องพูดภาษาอังกฤษได้ เยอรมันก็เช่นกันค่ะ แต่เป็นสำเนียงแบบ
American English เท่านั้นเอง บางประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการอย่างเนเธอร์แลนด์ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี พวกนี้มีภาษาหลักของตัวเองแต่พูดภาษาอังกฤษได้เกือบทั้งประเทศค่ะ แต่ไม่ใช่ว่าผมทอง ตาน้ำข้าว(หน้าตาเป็นฝรั่ง) จะสอนภาษาอังกฤษกันได้หมดทุกคนนะคะ

ประเทศในกลุ่มเอเชีย





คนไทยเก่งภาษาอังกฤษกว่าหลายๆ ประเทศ อย่างน้อยถึงจะพูดไม่ได้ แต่ก็พอฟังออกบ้างเล็กน้อย

ในขณะที่คนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซียที่เป็นเด็กมหาลัย กลับภาษาอังกฤษไม่กระดิก
ความจริงการพูดภาษาอังกฤษได้คล่องหรือไม่ ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าคนไทยโง่หรือประเทศไทยเจริญน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เลยนะคะ ไม่รู้ทำไมคนไทยชอบดูถูกคนไทยด้วยกันเองนัก ว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดี อยากจะให้ประเทศตัวเองเป็นอาณานิคมบ้าง จะได้พูดภาษาอังกฤษได้เก่งๆ

อย่างประเทศญี่ปุ่น คนพูดภาษาอังกฤษได้มีไม่มาก แต่ประเทศเขาก็เจริญกว่าเราหลายเท่า ในขณะที่ประเทศในแถบแอฟริกาเรียกได้ว่าใช้ภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ คนพูดกันได้อย่างน้อย 3 ภาษา คือภาษาถิ่น อังกฤษ และฝรั่งเศส แต่เค้าก็ไม่ได้เจริญไปกว่าเราสักเท่าไหร่ บางประเทศล้าหลังกว่ามากด้วยซ้ำ

ตัวภาษาก็แค่ความสามารถเสริมอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจคนชาติอื่นได้โดยไม่ต้องอาศัยล่ามแปลก็เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับมันจนกลายเป็นภาษาหลักที่สองของประเทศเรา ใครที่อยากทำงานเกี่ยวกับด้านภาษา แล้วจะฝึกฝนให้เชี่ยวชาญก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่คนไหนที่พูดไม่เก่ง หรือพูดไม่เป็น และไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ เราก็ไม่จำเป็นต้องดูถูกคนเหล่านั้น

(ยังมีต่อ รออ่านนะคะ...วารีนา)


วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ท่านจะได้รับอะไรบ้าง จากการใช้บริการ

แปลเอกสารราชการต่างๆ เช่น หนังสือรับรองการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า เป็นต้น เอกสารทางการศึกษาต่างๆ เช่น ปริญญาบัตร ทรานสคริปต์  

แปลสูติบัตร แปลทะเบียนบ้าน แปลบัตรประชาชน แปลใบรับรองสถานภาพโสด แปลใบรับรองสถานที่เกิด แปลทะเบียนสมรส แปลใบสำคัญการหย่า แปลใบเปลี่ยนชื่อ แปลใบเปลี่ยนนามสกุล

งานแปลที่มีคุณภาพ เนื้อหาตรงตามต้นฉบับ
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับงานแปลภาษา หรือแปลเอกสาร คือความถูกต้อง แม่นยำ ตรงตามต้นฉบับ จึงต้องมีการตรวจสอบงานโดยผู้เชี่ยวชาญ ก่อนจะส่งงานให้กับลูกค้าทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ท่านจะได้รับงานแปลที่มีคุณภาพ และมีเนื้อหาถูกต้อง ตรงตามต้นฉบับอย่างแน่นอน

ส่งงานตรงเวลา ตรงความต้องการ
ไม่ว่าท่านจะมีความต้องการเร่งด่วนแค่ไหน เราก็สามารถส่งงานให้ท่านได้ตามกำหนดเวลาที่ท่านต้องการ โดยยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและความถูกต้องของเนื้อหาอย่างครบถ้วน

ความถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
งานแปลคุณภาพดี ย่อมต้องมีความถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และมีความสละสลวยในสำนวนภาษา เราจึงเน้นคุณภาพในด้านหลักไวยากรณ์ในงานแปลภาษาหรือแปลเอกสารของเราด้วย เช่น งานแปลเป็นภาษาอังกฤษ จะใช้หลักไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษแบบอเมริกันหรืออังกฤษ หรือถ้าเป็นงานแปลภาษาไทย ก็ต้องถูกหลักการใช้ไวยากรณ์ในภาษาไทยตามมาตรฐานราชบัณฑิตยสถาน นอกจากนี้ ระดับของภาษาที่ใช้ในแต่ละโอกาสก็ยังมีความสำคัญ เช่น ภาษาที่ใช้กับกลุ่มคนในอาชีพต่างๆ โดยนักแปลมืออาชีพของเรา จะเขียนสำนวนตามหลักสามัญที่ใช้สำหรับในวงการนั้นๆ

วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

10 อันดับมหาวิทยาลัยด้านธุรกิจที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา


สำหรับคนที่เป็นนักเรียนมาตลอดชีวิต บรรยากาศในโลกการ ทำงานเปิดโลกใหม่ให้ชีวิตเราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างไร ก็ตาม การได้เรียนต่อในโรงเรียนระดับโลกกับคนเก่งๆจาก ทั่วทุกมุมโลกก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เป็นสองรองใคร เช่นกัน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจจะศึกษาต่อในมหาลัยติด อันดับต้นๆในอเมริกาแล้วล่ะก็ มหาลัยเหล่านี้เป็นมหาลัยที่ คุณต้องรู้จักและพิจารณาก่อนเลย
 
 1. Harvard

ที่ตั้ง: บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์
ค่าเรียน: $63,675 ต่อปี
ทำไมต้องที่นี่: เป็นที่รู้กันว่าฮาเวิร์ดเป็นมหาลัยด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียง
มากที่สุดในโลกและได้ผลิตบัณฑิตคุณภาพมาตั้งแต่ปี 1908 ที่นี่นักเรียนจะได้เรียนกรณีศึกษาในธุรกิจจริงๆ และได้อภิปรายกับเพื่อนร่วมห้อง ที่นี่เป็นที่ๆสร้างโอกาสให้เราได้งานในบริษัทที่ดีที่สุดของโลกได้ไม่ยาก
คุณสมบัติผู้สมัคร: คนที่มีความเป็นผู้นำ ความสามารถและกระหาย ในการคิดวิเคราะห์ และเป็นพลเมืองที่ต้องการทำเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง


2. Stanford


ที่ตั้ง: สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย
ค่าเรียน $66,540 ต่อปี
ทำไมต้องที่นี่: มหาลัยนี้เป็นมหาลัยที่เข้ายากที่สุดโดยมีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพียง 4.7% เท่านั้นในปี 2016 ซึ่งนั่นแปลว่าคุณต้องเป็นคนที่ดีที่สุดเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าไปได้ คอร์สของที่นี่มีความพิเศษตรง
ที่นักเรียนทุกคนจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้นหรือยาว กับนักเรียนคนอื่น ซึ่งเป็นส่วนนึงของโปรแกรม “Global Experience”
คุณสมบัติผู้สมัคร: จะต้องมีสติปัญญาโดดเด่น มีศักยภาพด้านการเป็นผู้นำ แสดงคุณสมบัติและการทำเพื่อผู้อื่นเฉพาะบุคคล



3. Duke (Fuqua)

ที่ตั้ง: สแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย
ค่าเรียน $63,200 ต่อปี
ทำไมต้องที่นี่: มหาลัยนี้เน้นหนักด้านการเป็นผู้นำเพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมต่อสังคมโลก ที่นี่มีสำนักงานอยู่ในหลายทวีปทั่วโลกซึ่งทำให้นักเรียนมีโอกาสใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของที่
เรียนด้วย
คุณสมบัติผู้สมัคร: ผู้ที่สามารถเพิ่มคุณค่าที่มีนัยสำคัญและความหลากหลายให้กับโปรแกรม และแสดงศักยภาพของการเป็นผู้นำด้วย


4. University of Chicago (Booth)

ที่ตั้ง: ชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์
ค่าเรียน: $66,540 ต่อปี
ทำไมต้องที่นี่: ที่นี่เป็นหนึ่งในมหาลัยด้านธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี 1892 โปรแกรม Leadership Effectiveness and Development Programme (LEAD) ที่เลื่องชื่อเป็นการเน้นย้ำความสำคัญในด้านการเป็นผู้นำของผู้เรียน และยังเป็นหนึ่งในที่แรกๆที่มีหลักสูตรด้านนี้
คุณสมบัติผู้สมัคร: ผู้ที่มีความพร้อมด้านวิชาการ สนใจที่จะศึกษาเรื่องต่างๆเพิ่มเติมอยู่เสมอ และมีความสามารถในการสื่อสารที่ดี


5. Dartmouth (Tuck School of Business)



ที่ตั้ง: ฮาโนเวอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์
ค่าเรียน: $66,390 ต่อปี
ทำไมต้องที่นี่: ดาร์ตมัธ เน้นมากในธุรกิจให้คำปรึกษา (consulting) โดยนักเรียนที่เรียนที่นี่จะมีโอกาสได้เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทหลากหลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีคอร์สทางเลือกให้นักเรียนฝึกงานในตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างประเทศอีกด้วยซึ่งจุดนี้จะช่วยให้แต่ละคนมีประสบการณ์โดยตรงกับวงการนี้แบบรู้ลึกรู้จริงยิ่งขึ้น
คุณสมบัติผู้สมัคร
: ผู้ที่มีผลการศึกษาที่ดีเยี่ยม มีความเป็นผู้นำ มีประวัติความสำเร็จมาบ้าง มีความสามารถในการสื่อสารกับคนอื่น มีพื้น หลังและประสบการณ์ที่หลากหลาย มีทัศนคติที่ซึมซับความรู้จาก

รอบโลกและนำมาปรับใช้ได้อย่างดี


วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560

100 วลีอังกฤษใช้ในบทสนทนาได้แบบฝรั่ง

หลายๆคนอยากจะฝึกภาษาอังกฤษโดยการสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ทราบหรือไม่ว่าการสนทนาภาษาอังกฤษที่ดี หรือที่เจ้าของภาษาใช้กันทั่วไป
มันมีการใช้วลีและสำนวนที่คุณไม่สามารถแปลตรงตัวออกมาได้ เพราะนั่นจะทำให้
ความหมายเปลี่ยนไป บทความนี้นำเสนอวลีภาษาอังกฤษที่ทำให้คุณเข้าใจสิ่งที่
คู่สนทนาของคุณพูดได้ถูกต้อง นอกจากนั้น คุณยังสามารถนำมันไปใช้เพื่อทำให้
การสนทนาของคุณฟังดูเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา
หรือตรงกับจุดประสงค์ของคุณมากขึ้น

การทักทายและบอกลา

How are things?
How is it going?
เป็นไงบ้าง?
How's life?ชีวิตเป็นไงบ้าง?
Long time no see!ไม่เจอกันนานเลยนะ!
What are you up to?
What have you been up to?
ทำอะไรอยู่เหรอ?
See you soon!เจอกันเร็วๆนี้นะ!
See you later!ไว้เจอกันทีหลังนะ!
Till next time!เจอกันคราวหน้านะ!
Good luck!โชคดีล่ะ!
Take care!ดูแลตัวเองด้วย!
Talk to you later!ไว้คุยกันทีหลังนะ!
Until we meet again!แล้วพบกันใหม่นะ!
Have a nice day!ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีของคุณนะ!
Have a good weekend!สุขสันต์วันหยุดนะ
Have a safe trip!เดินทางปลอดภัยนะ
Say hi to…ฝากสวัสดี … (ฝากให้คนๆหนึ่งกล่าวทักทาย
/สวัสดีคนที่คุณคิดถึงแทนคุณ)
Send my love to…ส่งความรัก(คำอวยพร)ให้ … (คนที่คุณรัก
หรือคิดถึงเช่นญาติ คนรัก หรือเพื่อน)

คำแนะนำ

In short
In brief
In a word
พูดสั้นๆว่า
As far
As to
เกี่ยวกับ..., ในเรื่องของ...
(ใช้เริ่มต้นในการกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง)
Not to mention...
What’s more, ...
นี่ยังไม่ได้พูดถึง...
ยิ่งไปกว่านั้น, ...
First of all
Above all
อย่างแรกเลยนะ
By the wayอนึ่ง, อีกประการหนึ่ง
After allสุดท้ายแล้ว, นอกจากนั้น
Just for the recordเพื่อให้คุณรู้,...
And so on and so forthเป็นต้น
If I’m not mistakenถ้าฉัน(คิด/ตัดสินใจ)ไม่ผิด
In other wordsกล่าวอีกนัยหนึ่ง,
กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า
On the contraryโดยตรงกันข้าม
The thing isประเด็นก็คือว่า
So as to
So that
เพื่อให้
Either wayอยู่แล้ว, อย่างไรก็ตาม
As a ruleโดยทั่วไป
As well asตลอดจน
All the sameไม่ต่างกัน, เหมือนๆกันทั้งหมด
On one handด้านหนึ่งนั้น, เรื่องหนึ่งนั้น
On the other handในทางกลับกัน
Such asเช่น
As I said beforeที่ฉันได้กล่าวไปแล้ว
Believe it or not, butเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่...
If I remember rightly
If I recall correctly
ถ้าฉันจำไม่ผิด

แสดงความไม่เห็นด้วยหรือตกลง

Perhapsอาจจะ, บางที
Of course
Sure
แน่นอน, ชัวร์
Definitely
Absolutely
อย่างแน่นอน, แน่อยู่แล้ว
Naturallyโดยปกติแล้ว
Probablyน่าจะ, อาจจะ
You are rightคุณ(พูด/ทำ/คิด)ถูก
It can hardly be soมันไม่น่าที่จะเป็นกรณีนี้,
มันไม่น่าที่จะเป็นอย่างนั้น
Very wellดีมาก
Most likelyมีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนั้น
Most unlikelyไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น
Not a bitไม่แม้แต่นิดเดียว
I believe so
I suppose so
ฉันเชื่อว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะ
I doubt itฉันสงสัยว่ามันจะใช่เหรอ/จะเป็นไปได้เหรอ?
(ฉันว่าไม่น่าจะใช่/เป็นไปได้หรอก)
No wayไม่มีทาง, เป็นไปไม่ได้
Exactly so
Quite so
อย่างนั้นแหละ, อย่างนั้นเลย
I agree with youฉันเห็นด้วยกับคุณ
I’m afraid you are wrongฉันเกรงว่าคุณน่ะแหละที่ผิด,
ฉันว่าคุณ(พูด/ทำ/คิด)ผิด
I’m afraid soฉันก็เกรงว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ
I’m not sureฉันไม่แน่ใจอะ
I don’t think soฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ
In a way
To a certain extent
ในความรู้สึกแล้ว
No doubtอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
I’m in
I’m game
ฉันเอาด้วย (ในการตอบสนองต่อคำเชิญที่จะไปที่ใด
หรือทำอะไรสักอย่าง)
I think I’ll passฉันว่าฉันไม่เอาดีกว่า, ฉันไม่เอาด้วยหรอก(ในการปฏิเสธ
ต่อคำเชิญที่จะไปที่ใดหรือทำอะไรสักอย่าง)
Deal!ตกลง!
It’s a great idea!เป็นความคิดที่เยี่ยมไปเลย!
Not a very good ideaเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ
I'm looking forward to itฉันคอยอยู่นะ

 ประโยคแสดงความสุภาพ

I’m so sorry!ฉันขอโทษจริงๆค่ะ!
I beg your pardon!กระผม/ดิฉันขอโทษครับ/ค่ะ!
I’m sorry, I can’t.ขอโทษนะ ฉันทำไม่ได้หรอก
Sorry, I meant well.ขอโทษ ฉันแค่หวังดี (ฉันไม่ได้ตั้งใจ -
กรณีที่คุณหวังดีอยากจะช่วย
แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ผิดคาด)
It’s very kind of you!คุณใจดีมากเลย!, คุณมีน้ำใจจัง!
Thank you anyway!ยังไงก็ขอบคุณนะ!
Thank you in advance!ขอบคุณล่วงหน้านะ!
Don’t mention it!ไม่เป็นไร!, อย่าไปพูดถึงมันเลย ไม่เป็นไร!
May I help you?ให้ฉันช่วยไหมคะ?
No problem!
That’s ok!
ไม่เป็นไร!, โอเคค่ะ ไม่เป็นไร!
Don’t worry about it!ไม่ต้องเป็นห่วงนะ!
This way, please!โปรดมาทางนี้เลยค่ะ
After you!เชิญคุณก่อนเลยค่ะ

การตอบรับการสนทนา

What’s the matter?
What’s going on?
What’s happening?
What’s happened?
เกิดอะไรขึ้น?
What’s the trouble?มีปัญหาอะไรเหรอ?
How was it?แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง? (มันดีไหมหรือยังไง?)
Did I get you right?ฉันเข้าใจนายถูกไหม?
Don’t take it to heart.ใจเย็น
I didn’t catch the last word.เมื่อกี้พูดว่าไงนะ (คำสุดท้ายที่พูด
พูดว่าไรนะ?)
Sorry, I wasn’t listening.ขออภัย เมื่อกี้ผมไม่ได้ฟัง
It doesn’t matter.มันไม่สำคัญหรอก
It is new to me.นี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉันเลย
Let's hope for the best.ร่วมกันหวังเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกันเถอะ
May I ask you a question?ฉันขอถามคำถามหน่อยได้ไหมคะ?
Next time lucky!ขอให้โชคดีในครั้งต่อๆไป!
Oh, that. That explains it.อืม นั่นช่วยอธิบายทุกอย่างเลย
(นั่นทำให้เข้าใจทุกอย่าง)
Say it again, please.ได้โปรดพูดอีกครั้งได้ไหมคะ?
So that’s where the trouble lies!นั่นคือปัญหาไงล่ะ!
Things happen.อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด,
อะไรก็เกิดขึ้นได้
What do you mean?คุณหมายความว่าไง?
Where were we?เมื้อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ?
Were you saying?เมื้อกี้คุณพูดอะไรอยู่หรือเปล่า?
I’m sorry, I didn’t catch you.ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ยินที่คุณพูด
Lucky you!ขอให้คุณโชคดี!
Good for you!ดี(สำหรับคุณ)แล้วล่ะ!
I’m so happy for you!ฉันมีความสุขสำหรับคุณ
(ฉันดีใจที่เห็นคุณมีความสุข
/ได้รับสิ่งที่ดี)
What do you know!คุณจะไปรู้อะไรล่ะ!
การที่คุณพยายามที่จะพูดภาษาอังกฤษกับใครสักคนในชีวิตประจำวันเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะมันจะทำให้คุณมีความกล้าในการใช้ภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นยังทำให้คุณเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างสนุกกว่าเดิมอีกด้วย การเรียนภาษาอังกฤษจะส่งผลดีที่สุดให้คุณเมื่อคุณเรียนรู้และนำมันมาใช้ ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อสอบเท่านั้น ดังนั้นหลังจากเรียนเรื่องใหม่ๆมาในแต่ละวัน หากคุณลองนำสิ่งที่คุณได้เรียนไปใช้ คุณจะพบว่าการเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิดเลย