วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Articles คืออะไร แบ่งออกเป็นกี่ชนิด

Articles แปลว่า “คำนำหน้านาม” หมายความว่า คำนำหน้าทุกตัวในภาษาอังกฤษเวลาพูดหรือเขียนต้องใช้ Articles นำหน้าทั้งนั้น (ยกเว้นนามบางตัว หรือบางกรณีไม่ต้องใช้ Articles นำหน้ารายละเอียดจะได้อธิบายในลำดับต่อไปนะครับ) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ  :

1. Indefinite Article ได้แก่ a, an, เป็น Article ที่ใช้นำหน้านามแล้วทำให้นามตัวนั้นมีความหมายทั่วๆไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
2.Definite Article ได้แก่ the เป็น Article ที่ใช้นำหน้านามแล้วทำให้นามตัวนั้นมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจง หรือบ่งชัดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ทันที

นามที่ห้ามใช้ Article A,An,The นำหน้า 

นามที่ห้ามใช้ Article A,An,The นำหน้า


นามที่ห้ามใช้ Article A,An,The นำหน้า ได้แก่นามดังต่อไปนี้
1.นามที่นับไม่ได้ (Uncountable Noun) ที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีวลี (Phrase) หรืออนุประโยค (Clause) อื่นใด มาขยายเพื่อชี้เฉพาะอยู่ข้างหลัง ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
I want to drink tea and coffee.
ผมต้องการดื่มน้ำชาและกาแฟ
Light travels faster than sound.
แสงเดินทางได้เร็วกว่าเสียง
Water is composed of hydrogen and oxygen.
น้ำประกอบด้วยไฮโดรเจน และอ๊อกซิเจน
แต่ถ้ามี Phrase หรือ Clause มาขยายอยู่ข้างหลัง ต้องใช้ the นำหน้า เช่น
I like the coffee which comes from Peru.
ผมชอบกาแฟที่มาจากประเทศเปรู
The water in my glass is very clean to drink.
น้ำในแก้วของฉันสะอาดดีมากที่จะดื่ม

2.อาการนาม (Abstract Noun) ที่มีสำเนียงแปลว่า “การหรือความ” ซึ่งกล่าวขึ้นมาลอยๆ ไม่มี Phrase หรือ Clause มาขยายชี้เฉพาะอยู่ข้างหลัง ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
Honesty is the best policy.
ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด
Drinking too much whisky makes him very bad health.
การดื่มสุรามากเกินไปทำให้เขาสุขภาพไม่ดีเอาทีเดียว
Negligence is the path of death.
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
แต่ถ้ามี Phrase หรือ Clause มาขยายชี้เฉพาะอยู่ข้างหลัง ต้องใช้ the นำหน้า เช่น
The honesty of this boy deserved to be praised.
ความซื่อสัตย์ของเด็กคนนี้สมควรได้รับการยกย่อง
The singing of the birds awakes me every morning.
เสียงร้องของนกทำให้ผมตื่นทุกๆ เช้า

3.นามพหูพจน์ (Plural Noun) ที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ ไม่มี Phrase หรือ Clause มาขยายเพื่อชี้เฉพาะอยู่ข้างหลัง ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
Students should come to school in early morning.
นักเรียนควรมาโรงเรียนแต่เช้าหน่อย
Women like beautiful clothes.
ผู้หญิงชอบเสื้อผ้าสวยๆ
แต่ถ้ามี Phrase หรือ Clause มาขยายชี้เฉพาะอยู่ข้างหลัง ต้องใช้ the นำหน้าตลอดไป เช่น
The students in this school are interested in English.
นักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้สนใจภาษาอังกฤษ
The books which I bought yesterday are interesting.
หนังสือที่ผมได้ซื้อมาเมื่อวานนี้น่าสนใจ

4.นามที่เป็นชื่อวิชา, ภาษา ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
English ภาษาอังกฤษ French ภาษาฝรั่งเศส
Engineering วิศวกรรม history ประวัติศาสตร์
Geography ภูมิศาสตร์ biology ชีววิทยา
Mathematics คณิตศาสตร์ economics เศรษฐศาสตร์
We study English twice a week.
เราเรียนภาษาอังกฤษสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
Manu wants to continue engineering in U.S.A.
มนูต้องการเรียนต่อวิศวกรรมที่สหรัฐ
แต่ถ้านามที่เป็นชื่อวิชา, ภาษาเหล่านี้ นำไปใช้อย่างคุณศัพท์ (Adjective) ประกอบนามตัวอื่น ต้องใช้ The นำหน้าทันที เช่น
Wantani is going to learn the English language next week.
วันทนีย์จะเรียนภาษาอังกฤษสัปดาห์หน้า
The economics subject is more difficult than history.
วิชาเศรษฐศาสตร์ยากกว่าประวัติศาสตร์

5.นามที่เป็นชื่อกีฬา หรือการละเล่นไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
football ฟุตบอล basketball บาสเกตบอล
pingpong ปิงปอง tennis เทนนิส etc.
They play football with their friends every day.
พวกเขาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ทุกวัน
The girls of this school pay attention to tennis.
เด็กหญิงของโรงเรียนนี้สนใจกีฬาเทนนิส
แต่ถ้าชื่อกีฬา การละเล่น หรือความบันเทิง ไปทำหน้าที่คล้ายคุณศัพท์ (Adjective) ประกอบนามตัวอื่น ต้องใช้ the นำหน้า เช่น
We are going to watch the football match.
เรากำลังจะไปดูการแข่งขันฟุตบอลกัน
Do you enjoy the basketball game ?
คุณสนุกไหมครับกับกีฬาบาสเก็ตบอล ?

6.นามที่เป็นชื่อทวีป, ประเทศ, มลรัฐ, เมืองหลวง, โรงเรียน, วิทยาลัย, มหาวิทยาลัย ในกรณีที่เป็นคำคำเดียว (ไม่ใช่คำผสม) ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
ทวีป : Asia ทวีปเอเชีย Europe ทวีปยุโรป
Australia ทวีปออสเตรเลีย North America ทวีปอเมริกาเหนือ
ประเทศ : Thailand ประเทศไทย England ประเทศอังกฤษ
India ประเทศอินเดีย France ประเทศฝรั่งเศส
Japan ประเทศญี่ปุ่น China ประเทศจีน
มลรัฐ : Texas รัฐเท็กซัส California รัฐแคลิฟอร์เนีย
New York รัฐนิวยอร์ค Washington รัฐวอชิงตัน
เมืองหลวง : Bangkok กรุงเทพฯ London ลอนดอน
Paris ปารีส Tokyo โตเกียว
โรงเรียน :
Suan Kularb School โรงเรียนสวนกุหลาบ
Amnuay Silp School โรงเรียนอำนวยศิลป์
วิทยาลัย : Ubol Teacher’s College วิทยาลัยครูอุบล
Thonburi Teacher’s College วิทยาลัยครูธนบุรี
มหาวิทยาลัย : Thammasat University มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Cambridge University มหาวิทยาลัยเคมบริด
ข้อยกเว้น : แต่ถ้าเอาชื่อเฉพาะ (Proper Noun) ตามที่กล่าวมานี้ ไปเป็นคุณศัพท์ (Adjective) ประกอบหรือขยายอยู่หน้านามตัวอื่น ต้องใช้ the นำหน้า Proper Noun เหล่านี้ ได้ทันที เช่น
The New York subways are very hot in summer.
แถวชานเมืองกรุงนิวยอร์คร้อนมากในฤดูร้อน
The Thammasat University dome is very beautiful.
ตึกโดมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สวยงามมาก

7.ชื่อมื้ออาหาร, ฤดูกาล, ลัทธิ, ศาสนา, วัน, เดือน ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
breakfast, lunch, dinner อาหารเช้า, กลางวัน, ค่ำ
summer, winter, spring ฤดูร้อน, หนาว, ใบไม้ผลิ
Communism, Buddhism ลัทธิคอมมิวนิสต์, ศาสนาพุทธ
Monday, Tuesday วันจันทร์, อังคาร
January, February เดือนมกราคม, เดือนกุมภาพันธ์
ตัวอย่างประโยค
These pupils have breakfast at home.
เด็กนักเรียนเหล่านี้ทานอาหารเช้าที่บ้าน
Thai people believe in Buddhism.
คนไทยนับถือศาสนาพุทธ

8.ชื่อน้ำตก, ชายหาด, จตุรัส, สวนสาธารณะ, สะพาน, หอประชุม, สถานี, สนามบิน, ปราสาท, พระราชวัง, วัด และศาล ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
Sarika Falls น้ำตกสาริกา
Pattaya Beach ชายหาดพัทยา
Times Square ไทม์สแควร์
Lumpini Park สวนลุมพิธี
Memorial Bridge สะพานพุทธ
Town Hall หอประชุมประจำเมือง
Hua Lum Pong Station สถานีหัวลำโพง
Don Muang Airport สนามบินดอนเมือง
Windsor Castle ปราสาทวินด์เซอร์
Buckingham Palace พระราชวังบัคกิ้งแฮม
Grand Palace พระบรมมหาราชวัง
Canterbury Abbey โบสถ์แคนเทอร์เบอรี่
Hampton Court ศาลเมืองแฮมตัน
9.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่เป็นชื่อหนังสือพิมพ์ที่พิมพ์จำหน่ายเป็นรายสัปดาห์, รายเดือน, รายปี (Magazines) เช่น
Newsweek หนังสือพิมพ์นิวสวีค
Time หนังสือนิตยสารไทม์
He wants to read Newsweek alone.
เขาต้องการอ่านหนังสือพิมพ์นิวสวีคตามลำพัง
แต่ถ้าหนังสือพิมพ์นั้น พิมพ์จำหน่ายออกรายวัน ต้องใช้ the นำตลอดไป เช่น
The Siamrath newspaper
หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
The Thairath newspaper
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

10.คำเฉพาะที่ใช้เรียกสมาชิกในครอบครัว, เครือญาติ ตลอดถึงคำที่ใช้เรียกตามอาชีพ ในความหมายทั่วๆ ไป ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
Father hasn’t come yet. คุณพ่อยังไม่มา
Mother is out shopping. คุณแม่ออกไปจ่ายตลาด
Uncle is coming to see us. คุณลุงกำลังมาเยี่ยมเรา
Waiter, bring me a glass of water. บ๋อย ขอน้ำแก้วซิ
All right doctor, I’ll do what you say.
ตกลงครับคุณหมอ ผมจะทำตามที่ท่านพูด

11.คำนามที่เป็นของคู่กัน (A human couple) หรือสิ่งของที่ต้องใช้ควบคู่กันตลอดไปไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
father and son พ่อลูก
lock and key กุญแจและลูกกุญแจ
day and night วันและคืน
husband and wife สามีและภรรยา
ตัวอย่างประโยค
I saw father and son working in the garden.
ฉันเห็นพ่อลูกทำงานอยู่ในสวน
The old man kept his treasure under lock and key all day and night.
ชายชราคนนั้นเก็บรักษาสมบัติของเขาด้วยกุญแจตลอดทั้งวันทั้งคืน
There are husband and wife staying here.
มีสามีและภรรยา (คู่หนึ่ง) พักอยู่ที่นี่

12.ไม่ใช้ Article นำหน้าคำนามที่อยู่ในบันทึก, ป้ายประกาศ, สัญญาณ, ป้ายสินค้า, การพาดหัวข่าว, ชื่อหนังสือ และโทรเลข เป็นต้น เช่น
Private Road ถนนส่วนบุคคล
Sharp Curve โค้งอันตราย
Beware of Rock falls ระวังหินร่วง
Bangkok Bank Ltd. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด
Standard English Grammar หนังสือแสตนดาร์ดอิงลิชแกรมม่า
13.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่ไปเรียงตามสำนวน king of, sort of, type of, make of, brand of, variety of, species of, ในกรณีที่มีความหมายว่า “แบบ” “ยี่ห้อ” หรือ “ชนิด” เช่น
What kind of suit are you wearing ?
เสื้อนอกแบบไหนที่คุณใส่อยู่ ?
Kitti is the sort of student that teachers are proud of.
กิตติเป็นนักศึกษาประเภทที่ครูมีความภูมิใจด้วย
Amporn is the type of worker we need very much.
อำพรเป็นคนงานชนิดที่เราต้องการมาก
What brand of cigarette do you prefer ?
บุหรี่ยี่ห้ออะไรที่คุณชอบมากกว่า ?

14.นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน (Proper Noun) ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
I want to meet Mr. Smith.
ฉันต้องการพบคุณสมิธ
(แสดงว่าเขารู้จักคนชื่อสมิธมาดีแล้ว และแล้วก็มาพบกันอีก) อีกกรณีหนึ่งในลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าคนที่ชื่อสมิธนั้น เราไม่รู้จักมาก่อน แต่วันนั้นบังเอิญเจอกันเข้า และก็รู้ว่าเขาชื่อสมิธ อย่างนี้ใช้ a นำหน้าได้ เช่น
I met a Mr. Smith at that restaurant last night.
ฉันได้พบคนที่ชื่อสมิธที่ภัตตาคารนั้นเมื่อคืนนี้

15.ชื่อยศ หรือ ตำแหน่ง ถ้าใช้ประกอบหน้านามของบุคคลผู้ได้ยศหรือตำแหน่งไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
President George W. Bush is coming to Thailand soon.
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชจะมาเยือนไทยเร็วๆ นี้
She wrote a letter to Major Wiwat.
หล่อนได้เขียนจดหมายถึงพันตรีวิวัฒน์
.
Prime Minister Taksin visited the North of Thailand.
ท่านนายกรัฐมนตรีทักษิณได้ไปเยือนภาคเหนือของไทย
แต่ถ้ากล่าวถึงหรือพูดถึงเฉพาะคำที่เป็น “ยศ” หรือ “ตำแหน่ง” โดยไม่มีเจ้าของผู้รับยศหรือตำแหน่งมาอยู่ข้างหลัง ยศ หรือตำแหน่งต้องใช้ The นำหน้าตลอดไป และก็เป็นที่รู้จักกันดีด้วยในหมู่คนนั้นๆ เช่น
The President wishes his people many years of happiness on New Year’s Day.
ประธานาธิบดีอวยพรให้ประชาชนของเขาจงประสบแต่ความสุขตลอดไปในวันปีใหม่
The abbot went outside the temple.
ท่านสมภารออกไปนอกวัดเสียแล้ว

16.Proper Noun (ชื่อเฉพาะ) ที่แสดงเชื้อชาติหรือสัญชาติ ถ้าใช้หมายถึงส่วนรวมทั้งกลุ่ม ทั้งคณะ และก็มีรูปเป็นพหูพจน์ด้วยเช่นนี้ไม่ต้องใช้Article นำหน้า เช่น
Americans are fond of baseball.
คนอเมริกันชอบกีฬาเบสบอล
Thais eat rice.
คนไทย (ทั้งชาติ) ทานข้าว (เป็นอาหารหลัก)
แต่ถ้าผู้พูดต้องการแยกนามที่เป็นเชื้อชาติสัญชาตินั้นออกไปจากกลุ่มอื่น คณะอื่น เหล่าอื่น ต้องใช้ The นำหน้าตลอดไป เช่น
The Cubans and the Russians have become friends.
ชาวคิวบาและรัสเซียได้กลายมาเป็นมิตรกันแล้ว
อนึ่ง แม้นามที่บอกสัญชาตินั้นไม่มีรูปพหูพจน์ (เพราะทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ใช้เหมือนกัน) กรณีเช่นนี้ต้องใช้ the นำหน้าตลอดไป เช่น
The French are fond of dancing.
คนฝรั่งเศสชอบการเต้นรำ
The British prefer tea to coffee.
คนอังกฤษชอบชามากกว่ากาแฟ

17.Proper Noun (ชื่อเฉพาะ) ที่แสดงเชื้อชาติ สัญชาติ ถ้านำมาใช้เป็น Adjective Complement (คือคุณศัพท์ที่เป็นส่วนขยายกริยาให้ใจความของประโยคสมบูรณ์ขึ้น ) ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
My friend is American.
เพื่อนของฉันเป็นคนอเมริกัน
We are Thai. (เป็น Adjective Complement ไม่ต้องเติม s)
พวกเราเป็นคนไทย
The Smiths are American.
ครอบครัวสมิธเป็นชาวอเมริกัน
แต่ถ้าไปทำหน้าที่ประกอบนามตัวอื่นคล้ายเป็นคุณศัพท์ (Adjective) ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
He is an American boy.
เขาเป็นเด็กอเมริกัน
Somsri is a Thai girl.
สมศรีเป็นเด็กหญิงไทย
We are the Thai students.
พวกเราเป็นนักศึกษาไทย

18.ชื่อถนน, สวนสัตว์, วงเวียน, วันสำคัญทางศาสนา และวันหยุดทางราชการ ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
Sukhumvit Road ถนนสุขุมวิท
Wireless Road ถนนวิทยุ
Rajadamnoen ถนนราชดำเนิน
Dusit Zoo สวนสัตว์ดุสิต
Rajatevi Circle วงเวียนราชเทวี
Songkran Day วันสงกรานต์
Christmas วันคริสต์มาส
Thanksgiving วันขอบคุณพระเจ้า
New Year’s Day วันปีใหม่
Easter วันอีสเตอร์
ตัวอย่างประโยค
Her house is on Sukhumvit Road.
บ้านของหล่อนอยู่ที่ถนนสุขุมวิท
Rajdamnoen Avenue is not heavy.
การจราจรบนถนนราชดำเนินไม่ค่อยติดขัดนัก
We don’t go to work on New Year’s Day.
พวกเราไม่ไปทำงานในวันปีใหม่
Thais throw some water at the others on Songkran Day.
คนไทยรดน้ำดำหัวกันในวันสงกรานต์

19.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่มีจำนวนเลขนับตามหลัง เช่น
Page ten หน้า 10 Chapter nine บทที่ 9
World war two สงครามโลกครั้งที่ 2 April 20 วันที่ 20 เมษายน
ตัวอย่างประโยค
Please open on page ten and read after me.
กรุณาเปิดหน้าที่ 10 แล้วอ่านตามฉัน
This is Chapter nine for me to read.
นี้คือบทที่ 9 สำหรับฉันที่จะอ่าน
แต่ให้ใช้ the นำหน้าวันที่ที่เขียนเต็ม เช่น
the fourth of January วันที่ 4 เดือนมกราคม
the first of May วันที่ 1 เดือนพฤษภาคม
20.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่เป็นชื่อของโรคต่างๆ เช่น
Cholera อหิวาตกโรค Malaria โรคไข้จับสั่น
Influenza ไข้หวัดใหญ่ rheumatism โรคปวดข้อ
ตัวอย่างประโยค
Every year many people die of malaria.
ทุกๆ ปี คนจำนวนมากตายด้วยโรคไข้จับสั่น
Mary can’t go to school because of influenza.
แมรี่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้เพราะเป็นไข้หวัดใหญ่

21.ยานพาหนะทุกชนิดที่ใช้ในการเดินทาง โดยวางไว้หลังบุรพบท “by” ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
by car โดยรถยนต์ by taxi โดยรถแท็กซี่
by train โดยรถไฟ by plane โดยเครื่องบิน
by boat โดยเรือ by bicycle โดยรถจักรยาน
อนึ่ง กับสำนวนต่อไปนี้ก็ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า ได้แก่
On foot ด้วยเท้า at sea ทางทะเล
By land โดยทางบก by water โดยทางน้ำ
On horseback ขี่ม้า on buffalo ขี่ควาย
ตัวอย่างประโยค
Most of the students go to university by bus.
นักศึกษาส่วนมากไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโดยรถประจำทาง
Some labours go to work on foot.
คนงานบางคนก็เดินไปทำงาน
I go to Nonthaburi by water.
ฉันไปนนทบุรีโดยทางน้ำ

22.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่ไปทำหน้าที่เป็น object ตัวที่ 2 ในกรณีที่ Object ตัวที่ 2 นั้นเป็นชนิดหรือประเภทเดียวกันกับตัวที่ 1 เพราะเห็นว่าเป็นหน่วยเดียวกัน เช่น
Please bring me a cup and saucer.
กรุณานำถ้วยพร้อมจานรองมาให้ฉันด้วย
(อย่าใช้ : a cup and a saucer)
John is used to using a knife and fork.
จอห์นคุ้นเคยกับการใช้มีดและส้อมเสียแล้วละ
(อย่าใช้ : a knife and a fork)

23.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่ไปทำหน้าที่เป็น Subjective Complement ของกริยา turn ในกรณีที่แปลว่า “กลายเป็น, เปลี่ยนเป็น” เช่น
Samart was a singer before he turned teacher.
สามารถเป็นนักร้องมาก่อนที่เขาจะกลายเป็นครู
He turned traitor and fought against me.
เขากลายเป็นคนทรยศและได้ต่อสู้กับฉัน

24.หน้าคำนามที่เป็นอักษรย่อ ถ้าออกเสียงเป็นพยางค์ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
UNO ยูโน SEATO ซีโต
WHO ฮู UNESCO ยูเนสโก
แต่ถ้าออกเสียงอ่านเป็นรายตัวอักษรต้องใช้ the นำหน้า เช่น
The U.K. = The United Kingdom (สหราชอาณาจักร)
The U.S.A. = The United States of America (สหรัฐอเมริกา)
ข้อยกเว้น : นามที่เป็นชื่อสายการบินต่างๆ แม้จะอ่านเป็นพยางค์หรืออ่านทีละตัวอักษร ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า เช่น
TWA ทีดับบลิวเอ BOAC บีโอเอซี
CPA ซีพีเอ PAN AM แพนแอม
ตัวอย่างประโยค
My father has worked with UNESCO for five years.
คุณพ่อของฉันได้ทำงานกับยูเนสโกเป็นเวลา 5 ปีแล้ว
They are going to arrive here by TWA.
พวกเขาจะมาถึงที่นี่โดยสายการบินทีดับบลิวเอ

25.หน้าคำนามต่อไปนี้ไม่ต้องใช้ Article นำหน้า ถ้านำมาใช้ในความหมายเพื่อกิจกรรมเฉพาะตัวของมันเองได้แก่ school, church, market, prison, bed, sea, hospital, college, court, work (ที่ทำงาน) เช่น
We go to school. พวกเรา ไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ
go to church. ไปโบสถ์เพื่อสวดมนต์
go to market. ไปตลาดเพื่อซื้อข้าวของ
go to prison. ไปเรือนจำเพื่อติดคุกฐานะเป็นนักโทษ
go to bed. ไปนอนเพราะง่วงนอน
go to sea. ไปเป็นกะลาสี (ทหารเรือ)
go to hospital. ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจโรค
go to college. ไปวิทยาลัยเพื่อศึกษาเล่าเรียน
go to court. ไปศาลในฐานเป็นโจทย์นำคดีขึ้นฟ้องร้อง
go to work. ไปทำงานในฐานะเป็นคนงาน
คำนามตามที่กล่าวมานี้ ถ้าจะใช้ the นำหน้าก็ได้ แต่ความหมายเพื่อกิจกรรมเฉพาะตัวของมันย่อมผิดไปจากเดิม ตัวอย่าง เช่น
They go to the school. เขา ไปโรงเรียนเพื่อเพื่อชมกิจการของโรงเรียน
go to the church. ไปโบสถ์เพื่อชมภาพจิตรกรรม
go to the market.
ไปตลาดเพื่อดูผู้คนหรือความโอ่อ่า
go to the prison. ไปเรือนจำเพื่อเยี่ยมญาติที่เป็นนักโทษ
go to the bed. ไปดูเตียงนอนหรือจัดที่นอน
go to the sea. ไปเที่ยวทะเลเพื่อชมวิว
go to the hospital. ไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมคนป่วย
go to the college. ไปวิทยาลัยเพราะนัดพบกับใครไว้
go to the court. ไปศาลเพื่อดูการตัดสินคดี
go to the work. ไปที่ทำงานเพื่อเยี่ยมคนรู้จัก
26.คำนามที่นำมาใช้เป็น Object (กรรม) ของ Verb (กริยา) ต่อไปนี้ไม่ต้องใช้ Article นำหน้าส่วนมากมักจะเข้าใจกันว่าเป็นรูปสำนวน (Idioms) ได้แก่
attend class เข้าเรียน break silence ทำลายความเงียบ
bring word บอกข่าว head first เอาหัวไปก่อน
cut class ขาดเรียน leave home ออกจากบ้าน
catch fire ติดไฟ leave school ออกจากโรงเรียน
declare war ประกาศสงคราม lay siege ล้อมรอบ
drop anchor ทอดสมอ lose patience หมดความอดทน
lose heart ท้อใจ lose temper กลั้นอารมณ์ไม่อยู่
make friends with ทำความรู้จัก shake hands จับมือ
make fun of ทำให้เห็นเป็นตลก take advantage of เอาเปรียบ
sent word ส่งข่าว take breath หายใจ
set foot ย่างเท้า take care of ดูแล
set to work เริ่มทำงาน take notice of สังเกต
set sail ออกเรือ take offence โกรธเคือง
cast anchor ทอดสมอ take part in มีส่วนร่วม
weige anchor ถอนสมอ take pity on สงสาร
give eat เอาใจใส่ take pride in ภูมิใจ
have faith in ศรัทธาใน take revenge แก้แค้น
ตัวอย่างประโยค
I left school when I was twelve years old.
ฉันออกจากโรงเรียนเมื่อตอนฉันอายุ 12 ปี
Sunan is too young girl to catch fire by herself.
สุนันเป็นเด็กหญิงตัวเล็กเกินไปที่จะติดไฟเองได้

27.ไม่ใช้ Article นำหน้านามที่มาเป็น Object ของ Proposition ต่อไปนี้ในลักษณะที่ใช้เป็นสำนวน ได้แก่
at home ที่บ้าน in debt เป็นหนี้
at sunrise ตอนพระอาทิตย์ขึ้น in bed นอน
at daybreak เช้าตรู่ in jail ติดคุก
at dinner ขณะทานอาหารเย็น in face a danger เมื่อเผชิญอันตราย
at school ที่โรงเรียน in order of size ตามลำดับของขนาด
at night เวลากลางคืน in case of fire ในกรณีเกิดไฟไหม้
on time ตรงเวลา on deek บนดาดฟ้า
in hand อยู่ในมือ, พร้อมแล้ว on demand ตามคำสั่ง
in town อยู่ในเมือง under cover of กำบัง
in jest เป็นการตลก at work ขณะทำงาน
in place of แทนที่ for love เพราะความรัก
at noon ตอนเที่ยง in sight of มองเห็น
at sunset ตอนพระอาทิตย์ตก in time ทันเวลา
at ease ตามสบาย on foot โดยเท้า (เดิน)
by day เวลากลางวัน on horseback โดยการขี่ม้า
by land ทางบก on earth ในโลก
by air ทาอากาศ
ตัวอย่างประโยค
Today she is at home; not to work as usual.
วันนี้หล่อนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปทำงานตามปกติ
I have money in hand to buy a new car.
ฉันมีเงินพร้อมแล้วที่จะซื้อรถใหม่
The students go there on foot in time.
พวกนักศึกษาเดินไปถึงที่นั่นทันเวลา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น