กฏการเติม ed
ที่คำกริยา Regular Verbs
|
||||||||||||||||||||||||||||
กริยาส่วนใหญ่มีรูป Simple Past Tense ด้วยการเติม
ed มีกริยาบางคำเวลาเติม ed ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
มีข้อสังเกตดังนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||
1. กริยาซึ่งลงท้ายด้วย
e อยู่เเล้ว คงเติมเฉพาะ d เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
2. กริยาซึ่งลงท้ายด้วย
y ให้เปลี่ยน y เป็น i
เเล้วเติม ed เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
แต่ถ้าหน้า y มีสระ (vowel) คือ a, e, i, o, u คงเติม ed ได้ทันที ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i
เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
3. กริยาพยางค์เดียว
มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ต้องเพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว
เเล้วจึงเติม ed เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
ยกเว้น ถ้าลงท้ายด้วย h, w, x, y ไม่ต้องเติมพยัญชนะท้าย
เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
4. กริยามี 2 พยางค์ เเต่ลงเสียงหนักพยางค์ท้าย เเละพยางค์ท้ายมีสระตัวเดียว
ลงท้ายด้วยพยัญชนะตัวเดียว ต้องเพิ่มพยัญชนะ
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
- ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์เเรก ไม่เดินตามกฏข้างบนนี้
(ไม่ต้องเพิ่มพยัญชนะท้ายอีกตัวหนึ่ง) เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
- ถ้าลงท้าย h, w, x, y ไม่ต้องเพิ่ิมพยัญชนะท้าย
เช่น allow -
allowed อนุญาต, ยอมให้
|
||||||||||||||||||||||||||||
5. กริยามี 2 พยางค์ ลงท้ายด้วย l ตัวเดียว
เเละมีสระพยางค์ท้ายตัวเดียว ต้องเพิ่ม l ก่อนเติม ed
|
||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||
ถ้าเป็นภาษา English American ไม่ต้องเพิ่ม l
เช่น traveled
|
เชื่อว่าคนที่เรียนภาษาอังกฤษหลายๆคนคงอาจจะเคยเรียนมาแต่จำไม่ได้ว่าคำกริยาที่อยู่ในรูปอดีต
หรือ Past-tense ที่ต่อท้ายคำด้วย "ed" นั้น มีหลักการออกเสียงค่อนข้างหลากหลาย และหลายคนอาจจะกำลังออกเสียง
stop
(แปลว่าหยุด) ช่อง 2 หรือช่องอดีต
คือ stopped บางคนออกเสียงว่า "สทอพพิด"
หรือ "สต็อปเป็ด" ซึ่งเป็นการออกเสียงที่ผิด โดยที่ถูกต้องต้องออกเสียงว่า "สต็อปทึ" เปลี่ยน ed ให้เป็นเสียง
/t/ คะ
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนต้องเปลี่ยนเสียงเป็นอะไร
มีหลักการจำอยู่ 3 ข้อหลักๆ โดย 3 วิธีการออกเสียงนี้จะแบ่งออกตามพยัญชนะตัวสุดท้ายก่อนที่จะเติม
"ed"
1. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย p, f, gh, s, ce, k, ch, sh, sk และ sp ก่อนเติม ed เวลาออกเสียงให้เปลี่ยน
ed เป็น t คะ ซึ่งจะได้เสียงเป็น
...ped = /pt/ เช่น raped,
stopped, ripped, sipped
...fed,
...ghed = /ft/ เช่น laughed,
stuffed, beefed, puffed
...sed,
...ced = /st/ เช่น faced,
kissed, hissed, passed
...ked = /kt/ เช่น faked,
knocked, kicked, raked
...tched,
..ched = /cht/ เช่น matched,
watched, hitched, coached
...shed = /sht/ เช่น mashed,
cashed, wished, washed
...sked = /skt/ เช่น asked,
masked, tasked
...sped = /spt/ เช่น grasped
2. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย t และ d ก่อนเติม
ed เวลาออกเสียงไม่ต้องผันเป็นเสียงอื่นแต่ให้เปรียบ ed เสมือนเป็นสระและตัวสะกดต่อท้าย
..ted = /tid/
ออกเสียงเป็น ทิด หรือ เท็ด เช่น wanted = ว้อนเท็ด ตัวอย่างอื่น hated, presented, departed
..ded = /did/ ออกเสียงเป็น ดิด หรือ เด็ด
เช่น needed = นีดเด็ด ตัวอย่างอื่น ended, rounded,
3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะหรือเสียงอื่นๆ เช่น b, g, l, m, n, r,
w, y, z ก่อนเติม ed โดยคำพวกนี้จะออกเสียง ด หรือ
ดึ แบบเสียงก้อง หรือ voiced sounds (คือเสียงที่เวลาออกแล้วเส้นเสียงในลำคอจะบีบแคบลงและสั่น)
เช่น
described ดิสไครบ์ดึ
(อย่าลืมทำเสียงก้องตอนท้ายตรง บ์ดึ)
ตัวอย่าคำอื่นเช่น
loved, played, called, cleared, followed, enjoyed, amazed, used,
damaged, cleaned
การฝึกอ่านภาษาอังกฤษเป็นประจำจะทำให้เราจำการออกเสียงได้โดยอัตโนมัติค่ะ
อย่าลืมฝึกอ่านออกเสียงกันบ่อยๆนะคะ เวลาเราสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเราจะได้ออกเสียงคำนั้นๆได้ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษจะต่างจากภาษาไทยตรงที่เขาจะมีกาลเวลา หรือ tense เวลาพูด หากเราออกเสียงผิด ไม่ใช่แค่ความหมายผิด เพราะกาลหรือช่วงเวลาในประโยคนั้นๆก็จะผิดตามไปด้วยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น