วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561

สอบยังไงให้ได้เต็ม รวมแกรมมาร์ที่เจอบ่อยในข้อสอบ (TOEIC, GAT, CU-TEP etc.)

สอบยังไงให้ได้เต็ม! รวมแกรมมาร์ที่เจอบ่อยในข้อสอบ (TOEIC, GAT, CU-TEP etc.) (Part 1)
What’s been down!?

ห่างหายไปนานนน วันนี้หลังจากที่ผมเพิ่งไปสอบมาหมาด ๆ เลยอยากจะรวบรวมเอาแกรมมาร์ที่เจอบ่อยสุด ๆ ในข้อสอบมาสรุปให้เพื่อน ๆ ย่อยง่าย ๆ ก่อนไปสอบกัน บอกได้ว่าเจอแทบทุกข้อสอบทั้ง Gat, CU-TEP, Toeic, Toefl  และอีกมากมาย ที่อยากทำเพราะสงสารคนที่ต้องเสียเงินสอบหลาย ๆ รอบแล้วไม่ผ่านสักที หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยประหยัดเงินค่าสอบไปได้ไม่มากก็น้อยนะ

ส่วนตัวผมชอบเรียกแกรมมาร์พวกนี้ว่า มุกนะ เพราะมันเหมือนเป็นมุกของคนออกข้อสอบเขายังไงไม่รู้ มุกบางมุกก็เล่น (เล่น = เอามาออกสอบ) บ้อยบ่อยย บางมุกก็นาน ๆ เล่นที กระทู้ผมจะรวบรวมทั้งมุกที่เล่นบ่อยและนาน ๆ ทีว่าไว้ให้หมดเลยครับ และก็เหมือนเดิม เอาแบบเข้าใจง่าย ๆ กันเลยย (แต่ไม่สัญญานะว่าทุกคนจะเข้าใจมันได้ง่าย ๆ)

ไม่เรียงตามตัวอักษรหรืออะไรทั้งสิ้นนะ นึกได้ก็เขียนต่อกันไปเรื่อย ๆ

1. Question tag
Question tag 
คือประโยคคำถาม (แบบย่อ ๆ) ที่ต่อท้ายประโยคบอกเล่า
เช่น It’s a good day, isn’t it? วันนี้อากาศดีเนาะ ว่ามั้ย?

พอเจอข้อสอบเกี่ยวกับ question tag ให้จำง่าย ๆ ว่า ส่วนคำถามที่พ่วงท้ายจะตรงข้ามกับตัวประโยคบอกเล่า
หรือพูดง่ายๆ  คือ ถ้าประโยคบอกเล่าเป็น negative (มี don’t, didn’t, isn’t etc.) ส่วนคำถามที่พ่วงท้ายจะเป็น positive
แต่ถ้าประโยคบอกเล่าเป็น positive ส่วนคำถามที่พ่วงท้ายก็เป็น negative นั่นเองครับ

เช่น
He doesn’t know how to swing a sword, does he?
ไอ้หมอนี้ไม่รู้วิชาเพลงดาบเลยใช่มั้ยนี่? (ประโยคข้างเป็น doesn’t คำถามพ่วงหลังเลยเป็น does)
Joffrey is handsome, isn’t he?
กษัตริย์จ็อฟฟรี่นี่หล่อเหลาเอาการเลยเนาะ ว่ามั้ย
You haven’t finished your homework, have you?
ไม่ทำการบ้านมาใช่มั้ย แบมือมา! (ในส่วน แบมือมา นั่นมาจากความทรงจำอันโหดร้ายในวัยเด็กล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับประโยคตัวอย่างแต่อย่างใดครับ 5555)

มุก question tag นี้มาบ่อยเหมือนกัน ส่วนมากมักจะอยู่ในข้อสอบแบบ Choice
เช่น It’s a good day, _____?
    A. doesn’t it
    B. is it
    C. wasn’t it
    D. isn’t it
ก็ให้เลือกตอบข้อ D นะ

2. Past simple
หรือ Present perfect
สองเทนส์นี้ค่อนข้างมีความหมายใกล้เคียงกัน คือ ทำเสร็จแล้วแต่ต่างกันตรงที่ ถ้าในประโยคมีการบอกเวลา (มี time expression เช่น 2 minutes ago, yesterday อะไรพวกนี้) จะใช้ past simple แต่ถ้าไม่มีการบอกเวลา (ส่วนมากจะเป็นคำว่า just, already) ให้ใช้ present perfect ครับ

ลองเปรียบเทียบ
I called John ten minutes ago. (
บอกเวลาเจาะจงว่า 10 นาทีที่แล้ว)
I have just called John. (
ไม่ได้บอกเวลา บอกแค่ว่าเพิ่งโทรหามาเมื่อกี้)
I went to Westeros yesterday. (
บอกเวลาเจาะจงว่าเมื่อวาน)
I have been to Winterfell so many times. (
ไม่ได้บอกว่าตอนไหน แค่บอกว่าไปมาหลายครั้งแล้ว)

ลองทำแบบฝึกหัดดู ให้เลือกระหว่าง past simple กับ present perfect
A) Jon Snow _____ a new sword last year.
    A) has bought
    B) bought
B) Arya ______ dinner for Walder Frey.
    A) has already prepared
    B) already prepared
C) James ______ your ring in the garden yesterday.
    A) has found
    B) found
D) He _______ home.
    A) has just come
    B) just came

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

3. Advice
หรือ Advise / Good หรือ Well
Advice
เป็นคำนาม (นับไม่ได้) เช่น Lord Varys always gave Tyrion some good advice.

สังเกตว่าผมใช้คำว่า some good advice ไม่ใช่ a good advice นะครับ เพราะ advice เป็นนามนับไม่ได้ (uncountable noun) จึงไม่สามารถใช้กับ article (a/an) ได้

แต่ถ้าจะใช้ให้บอกว่า a piece of advice ครับ เช่น Can I give you a piece of advice? อย่าหาว่าสอนเลยนะ แต่ขอแนะนำหน่อยได้มั้ย

ส่วน advise นั่นเป็นกริยา (verb) นะ เวลาใช้ก็ง่าย ๆ
เช่น I advised him to apologise to her. ฉันแนะนำให้เขาไปขอโทษแฟนเขาซะ (สังเกตว่า advise to do something นะครับ มี to ด้วย)

แต่ส่วนมากเราจะเจอคำว่า advise against มากกว่าครับ แปลได้ว่า ไม่แนะนำให้ทำ หรือ แนะนำให้เลิก
เช่น The doctor advised him against smoking. คุณหมอแนะนำให้เขาเลือกเผาปอดได้แล้ว
(
สังเกตว่าจะมี him มาคั่นระหว่าง advise และ against และหลัง against จะตามด้วย v-ing)

ส่วน good กับ well ก็ง่าย ๆ ครับคือ well เป็น adverb  good เป็น adjective
เราพูดว่า He is good แต่เราไม่พูดว่า He sings good ต้องบอกว่า He sings well นะครับ

She can speak English very good.
ผิดครับ ต้องบอกว่า She can speak English very well. นะครับ

ปล. แต่ในภาษาพูดเราไม่ต้องคิดมากนะครับ ใช้ good ก็ไม่ได้ผิดร้ายแรงอะไร

4. Little / a little
หรือ Few / a few
A little
และ a few แปลว่า จำนวนน้อย
แต่ถ้าเอา a ออกจะแปลว่า น้อยมากกก (น้อยจนแทบจะไม่มี)

Little / a little
ใช้กับนามนับไม่ได้ (นามนับไม่ได้จะเป็นเอกพจน์ (singular) เสมอ)
เช่น They have a little money to spend. พวกเขาแทบไม่เหลือเงินใช้แล้ว
       You gave me little choice.
เธอแทบไม่เหลือทางเลือกให้ฉันเลย

ส่วน few / a few ก็ตรงข้ามกัน คือใช้กับนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ (plural) พูดง่าย ๆ คือคำนามนั้นต้องเติม s นั่นแหละครับ
เช่น I will take a few days. มันใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน
       Few people know who he really is.
มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าเขาเป็นใคร

5. Collective noun
Collective noun
คือ คำนามที่ใช้แสดงความหมายเป็นกลุ่มก้อน หรือเป็นหมู่คณะ ฟังแล้วอาจงง ๆ
เช่นคำว่า Family, team หรือ government อะไรพวกนี้ครับ คือมันหมายถึงกลุ่มคนหลายคนก็จริง แต่มันเป็นคำนามเอกพจน์นะ ดังนั้นเวลาใช้ verb ก็ต้องเลือก verb ให้เข้ากับมัน

ผู้ออกข้อสอบมักจะใช้มุกนี้
Our team ____ the best.
    A) are
    B) is

เห็นคำว่า our แปลว่าของพวกเรา แต่อย่าเพิ่งรีบตอบ are นะ
จริงอยู่ที่ส่วนมากคำนามที่ตามหลัง our จะชอบเป็นพหูพจน์ เช่น Our cars have been stolen. รถพวกเราถูกขโมยไป
แต่ในข้อนี้คำนามที่ตามหลัง our คือ team ซึ่งเป็น collective noun ในทีมอาจมีหลายคนก็จริง แต่ยังไงเป็นแค่ทีมเดียว ดังนั้นให้เลือกตอบ is ครับ

6. Than me
หรือ Than I
ถ้าเราจะบอกว่า นายวิ่งเร็วกว่าฉัน เรามักจะพูดว่า You run faster than me. ใช่มั้ยครับ
แต่เรายังสามารถพูดได้อีกแบบคือ You run faster than I do.

ซึ่งในข้อสอบส่วนมากจะชอบให้ตอบแบบที่สองมากกว่าครับ เพราะมันถูกหลักแกรมมาร์ที่แท้จริง (แต่ในชีวิตจริงเขาจะใช้แบบแรกกันซะมากกว่านะครับ)
ตัวอย่างแบบเพิ่ม
She is prettier than me.
หรือ She is prettier than I am.

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคำนึงเรื่องพวกนี้ด้วย
ถ้าเราเปรียบเทียบ กรรม ของประโยคจะต้องเป็นแบบแรกตลอดนะ
เช่น I love you more than him. ฉันรักเธอมากกว่าฉันรักเขา (เปรียบเทียบ you กับ him)

แต่ถ้าบอกว่า I love you more than he does. จะแปลว่า ฉันรักเธอมากกว่าเขารักเธอ (เปรียบเทียบประธาน I กับ He)

ยังไงก็ดูดี ๆ ว่าโจทย์เขาเปรียบเทียบอะไร
ลองทำแบบฝึกหัดดูครับ
A) I think you know more than _____.
    A) me
    B) I do
B) He said he loved Jennifer more than ____.
    A) me
    B) I did

ข้อแรกเปรียบเทียบการ know เลยตอบ I do (He knows more than I know เขารู้มากกว่าที่ฉันรู้)
ข้อสอบเปรียบเทียบกรรมเลยตอบ me (He loves Jennifer more than me เขารักเจนนิเฟอร์มากกว่าฉัน (มันย่อมาจากประโยค He loves Jennifer more than he loves me.))

7. Comparative: easier
หรือ more easier
ถ้าเจอแบบนี้จำง่าย ๆ เลย ถ้ามี more ไม่มี –er
เช่น It’s easier to work with you. (ไม่ใช่ It’s more easier to work with you.)

ส่วน more จะใช้กับ adjective ที่มี 2 พยางค์ขึ้นไป (ยกเว้น adjective สองพยางค์ที่ลงท้ายด้วย –y (easy, busy) อันนั้นให้ทำแบบข้างบน)
เช่น Joffrey is more handsome than any guy I know. จอฟฟรี่เป็นหนุ่มที่หล่อที่สุดตั้งแต่ที่ฉันเคยเจอมา
       Living in this country is much more interesting.
การอยู่ในเมืองนี้นั้นมีเรื่องน่าสนใจเยอะเยอะเลย
สังเกตว่าเราสามารถเติม much เข้าไปข้างหน้า adjective ที่มี –er หรือ more ได้นะครับ
เช่น It’s much better to live alone.
       She’s much more beautiful than her mother.

โจทย์จะชอบหลอกเราโดยการเอา more มาใส่กับ –er เช่น
I’m more happier than yesterday
แบบนี้ถือว่าผิดนะครับ เพราะมีทั้ง more ทั้ง –er เลย
ในเราดูที่ adjective ดี ๆ ว่าควรใช้ more หรือเติม –er ในประโยคนี้คือ happy ดังนั้นให้ตัด y แล้วเติม –er นั่นเองครับ
ดังนั้นควรบอกว่า I’m happier than yesterday. หรือจะบอกว่า I’m much happier than yesterday. ก็ได้ครับ

ลองทำแบบฝึกหัดดู
1) A bicycle is _____ than a motorbike.
    A) more cheaper
    B) cheaper
2) A bike is _______ than a car in the traffic.
    A) convenienter
    B) more convenient
3) Gold is ________ than silver.
    A) much expensive
    B) more expensive

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

8. 
การใช้ In, on, at กับ time
จำง่าย ๆ ว่า at แคบสุด ใช้กับเวลาแบบเฉพาะเจาะจงเช่น at 10 am. , at night, at sunrise
On 
กว้างขึ้นมาหน่อย ใช้กับ วันและวันที่ เช่น on Monday, on June 4th
ส่วน in กว้างสุดใช้กับ ปี เดือน และช่วงเวลา เช่น In 2009, in August, in the past

9. –ing
หรือ –ed: interesting หรือ interested
จำง่าย ๆ ว่า –ed จะใช้กับความรู้สึก เลยมักจะใช้กับคน
เช่น I’m bored. I’m interested in this book. I’m scared of the dark. I’m excited.

ส่วน –ing จะใช้บอกคุณลักษณะ เลยใช้กับสิ่งของ
This book is interesting. This topic is boring. The dark is scaring. The movie was exciting.

ถ้าอยากรู้แบบลึกซึ้งเรื่องนี้ให้ไปอ่านกระทู้นี้เลย https://pantip.com/topic/35554889

10. Whose
หรือ who’s
Whose
มักจะตามด้วยคำนามเสมอ เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น Whose car is this? นี่รถใครเนี่ย
He is a good man whose weakness is he can’t accept defeat.
เขาเป็นคนดีที่มีจุดอ่อนอย่างเดียวคือไม่สามารถยอมรับความผ่ายแพ้ได้
ส่วน who’s ย่อมาจาก who is นะครับ ออกเสียงเหมือนกันแต่คนละความหมาย

การใช้ Whose แบบคร่าว ๆ
Whose
ใช้เป็นคำถาม (ถามว่าของใคร)
Whose pen is this?
นี่คือปากกาของใคร
Whose house is that?
นั่นคือบ้านของใคร
Whose kid is running?
ลูกของใครกำลังวิ่งอยู่
Whose car is parking over there?
รถของใครจอดอยู่ตรงนั้น

นอกจากนี้เรายังใช้ Whose  เป็นคำเชื่อมประโยคได้ด้วย (ที่___ของ___)
I know the man whose father is a sniper.
ฉันรู้จักผู้ชายที่พ่อของเขาเป็นมือปืน
That is the girl whose car is stolen.
นั่นคือผู้หญิงที่บ้านของเธอโดนขโมย
I don’t know whose book is on the shelf.
ผมไม่รู้ว่าหนังสือของใครอยู่บนชั้นวาง

หลายคนอาจจะแม่นเรื่องพวกนี้แล้ว ส่วนใครยังไม่แม่นก็ทบทวนบ่อย ๆ ละกัน ที่สำคัญคืออย่าลืมไปหาอ่านเพิ่มเติมด้วย
แล้วเจอกัน Part 2 (ไม่รู้มีกี่พาร์ทนะ แต่จะทำออกมาเรื่อย ๆ ละกัน)

ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่มา: www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (Page: พ่อผมเป็นอังกฤษ)




สอบยังไงให้ได้เต็ม! รวมแกรมมาร์ที่เจอบ่อยในข้อสอบ (TOEIC, GAT, CU-TEP etc.) (Part 2)

What's been down?!

มาต่อกับแกรมมาร์ที่เจอบ่อยในข้อสอบพาร์ท 2 เลย จะได้ไม่ขาดตอนน!
พาร์ทนี้อาจจะแน่นกว่าตอนที่แล้วหน่อย (จริง ๆ ก็ไม่หน่อยอ่ะ ยาวมากก 55555)
สาเหตุเพราะเรื่องที่นึกออกตอนเขียน ดันนึกออกแต่เรื่องที่ต้องอธิบายยาว ๆ ซะนี่
แต่ผมก็พยายามย่อยให้มากที่สุดแล้ว เพื่อน ๆ อาจต้องแบ่งเวลาอ่านหน่อยถ้าใครไม่ชอบอ่านอะไรยาว ๆ

ผมจะพยายามทำให้ได้พาร์ทละ 10 ข้อนะ แม้แต่ละข้อจะยาวมากก็ตาม T T 5555

ไปดูกันเลยว่ามุกอะไรที่นักออกข้อสอบเขาชอบเล่นกันน!!

1. 
มี Do / Does / Did มาแล้ว Verb ไม่ต้องผัน

เวิร์บที่อยู่ในประโยคคำถามที่มี Do / does / did จะไม่ผันตามเทนส์ใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ อย่าโดนข้อสอบหลอกนะ
เช่น Does he knows Jane?
แบบนี้ผิดนะครับ มี Does แล้ว เวิร์บ know ไม่ต้องเติม s  แล้ว สาเหตุเพราะว่า does มันบอกความเป็น present simple ไปแล้ว
ดังนั้นที่ถูกต้องคือ Does he know Jane? นั่นเอง

Did
ก็เช่นครับคำ ตัว did เองบอกความเป็น past simple แล้ว เวิร์บในประโยคนั่นก็ไม่ต้องผันแล้วครับ
เช่น Did Glenn died?
แบบนี้ผิดเพราะในประโยคมี did อยู่แล้ว died จึงไม่จำเป็นต้องผันเป็นช่อง 2 แล้วเนาะ ดังนั้นแก้ให้ถูกก็คือ Did Glenn die? นั่นเองจ้า

เพิ่มเติม
ในประโยคคำถามที่เป็น present simple ถ้าประธานเป็น he, she, it ให้ใช้ does ขึ้นต้นนะครับ
เช่น Does he like Negan? เขาชอบนีแกนมั้ย (ไม่ใช่ Do he likes Negan? และก็ไม่ได้ Does he likes Negan? นะครับ)
Does Negan love you like I do?
นีแกนรักเธอเหมือนฉันมั้ย (ไม่ใช่ Do Negan loves you? หรือ Does Negan loves you?)

2. Neither:
ไม่ ไม่ ไม่ และก็ไม่!

Neither
จะมาคู่กับ nor ในประโยคที่บอกว่า 'ไม่.... และก็ไม่...'
เช่น Neither Glenn nor Abraham made it. ทั้งเกลนน์และฮับราฮัมไม่รอดสักหลาย
(
ถ้าเราพยายามแปลแบบฝรั่งมันจะงงมาก ๆ ครับ มันจะแปลประมาณว่า 'ไม่ใช่ทั้งเกลน์และไม่ทั้งอับราฮัมที่รอดชีวิต'
เราเลยต้องแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า ไม่รอดทั้งเกลน์และฮับราฮัม ก็ได้ครับ = ก็คือตายทั้งสองนั่นเอง)

ตัวอย่างเพิ่มเติม
Neither you nor I know who's gonna die next.
ทั้งฉันและนายก็ไม่รู้ว่าใครจะตายคนต่อไป

ไหน ๆ ก็ neither ไปแล้ว ก็มาต่อที่ either ด้วยเลย
Either ... or ...
จะแปลว่า ไม่... ก็ .... (ก็คือ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งนั่นเอง)
เช่น
You either win or lose.
ไม่แพ้ก็ชนะละวะ
Either Rick or Negan will survive.
ไม่ริคก็นีแกนนี่แหละที่จะรอด (ไม่ใครก็ใคร!)

ที่นี่เรามาดูในเรื่อง การแสดงความเห็นด้วย กันบ้าง
Neither do I 
ใช้ในประโยคเพื่อบอกว่า 'ฉันก็ไม่เช่นกัน'

เช่นคนแรกบอก I don't like zombies. ฉันไม่ชอบซอบบี้
อีกคนก็ตอบมาว่า Neither do I. ก็แปลว่า ฉันก็ไม่ชอบเช่นกันน  (หรือจะใช้ Nor do I ก็ได้ครับ)

เราจะไม่ตอบ So do I เพราะว่าประโยค I don't like zombies มันมาเป็นประโยคปฎิเสธ (negative) เลยต้องใช้ Neither do I!

ตัวอย่างเพิ่มเติม
สมชาย: I can't believe Glenn died! ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเกลน์ตายย (ขอขยี้หน่อย 555)
สมหมาย: Neither can I. ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน (หรือ Nor can I)

สมปอง: I don't think Negan is a bad guy. ฉันไม่คิดว่านีแกนเป็นคนไม่ดีนะ (ก็คือฉันคิดว่านีแกนเป็นคนดีนะแหละ 555)
สมศักดิ์: Neither do I. ฉันก็ไม่คิดงั้น (ก็คือฉันเห็นด้วยนั่นเองง) (หรือ Nor do I)

และที่สำคัญเราจะไม่บอกว่า I don't like it too หรือ I also don't like it. ด้วยครับ
เราต้องบอกว่า I don't like it either.
สังเกตว่าประโยคแบบนี้จะใช้ either นะ ไม่ใช่ neither แม้จะแปลว่า ฉันก็ไม่เช่นกัน เหมือนข้างบนก็ตาม ก็ไม่ต้องสงสัยครับ มันก็แปลว่า ฉันก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน เหมือนกันนะแหละครับ
เพียงแต่ถ้าใช้ too หรือ neither ในประโยคแบบนี้ แล้วมันผิดหลักแกรมมาร์แค่นั่นเอง

ตัวอย่างเพิ่มเติม
I don't like William Martin.
ฉันไม่ชอบวิลเลี่ยม มาร์ติน
I don't like him either.
ฉันก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน (ไม่พูดว่า I don't like him too. หรือ I also don't like him)

I don't know why he is so angry.
ฉันไม่รู้ว่าทำไมเขาอารมณ์เสียขนาดนั้น
I don't know it either.
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

สุดท้ายก็คือเรื่อง either of them และ neither of them
เราจะพูดว่า I don't like either of them. ฉันไม่ชอบทั้งสองนั่นแหละ (ไม่ใช่ I don't like both of them)
หรือจะพูดอีกแบบว่า I like neither of them. ก็ยังแปลว่า ฉันไม่ชอบทั้งสอง เหมือนกันครับ
สังเกตว่าถ้ามี don't จะใช้ either แต่ถ้าจะใช้ neither ก็ไม่ต้องมี don't นะ

เราสามารถพูดว่า Neither of them came. ทั้งสองไม่มีใครมา หรือ พวกเขาไม่มาทั้งสองคน (ไม่พูดว่า Both of them didn't come)

ทั้ง either of them และ neither of them ก็แปลว่า 'ไม่ทั้งสอง' เพียงแต่ถ้าในประโยคมี not แล้ว (เช่น don't, didn't, doesn't) ให้ใช้ either แค่นั้นเอง

ลองทำ Exercise ดู (รวมทั้งหมดเลยนะ)
1) Doesn't he like _____ of them?
เขาไม่ชอบทั้งสองเลยเหรอ
    a) either
    b) neither

2) I don't think Jon will like it ______.
ฉันไม่คิดว่าจอนจะชอบมันเหมือนกัน
    a) either
    b) neither

3) I don't understand why Glenn had to die.
ฉันไม่เข้าใจเลยทำไมเกลนน์ต้องตายด้วย
    a) Neither do I.
    b) So do I.

4) If ____ of you come, I'll be so mad.
ถ้าเธอไม่มาทั้งสองคน ฉันจะโกรธมาก
    a) either
    b) neither

5) This is your last chance. You ____ take it ____ leave.
นี่โอกาสสุดท้ายของนายแล้ว รับมันไว้ไม่ก็ไปซะ
    a) either... or
    b) neither... nor

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

3. Verb + gerund / to infinitive

อันดับแรกต้องอธิบายก่อนว่า Gerund คือ verb ที่เอามาเติม -ing และกลายเป็นคำนาม ซึ่งเพราะเป็น gerund เราก็จะเอาไปใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรมของประโยคนั่นเอง
เวลาแปลไทยก็เติมคำว่า การ... ไปไว้ข้างหน้า
เช่น Run วิ่ง แต่ running = การวิ่ง
      Work
ทำงาน แต่ working = การทำงาน

ส่วน to infinitive คือ verb ที่เติม to ข้างหน้า จะบอกว่ามันทำหน้าที่เป็น adverb ก็ได้นะ เพราะมันขยายเวิร์บ
เวลาแปลว่าก็จะเติม ที่จะ... หรือเพื่อจะ... ไว้ข้างหน้า
เช่น Want ต้องการ แต่ Want to go = ต้องการที่จะไป
      Decide
ตัดสินใจ แต่ Decide to leave = ตัดสินใจที่จะออกไป

ทีนี้มุกที่ผู้ออกข้อสอบชอบเล่นคือ verb บางตัวต้องตามด้วย gerund เท่านั้น ในขณะที่ verb บางตัวต้องตามด้วย to infinitive เท่านั้น
แต่บางตัวก็ตามได้ทั้งสองอย่างเลย แต่ความหมายจะคนจะอย่างกัน!

มาดูไปทีละอย่างครับ
Verb
ที่ต้องตามด้วย gerund เช่น consider, enjoy, keep, avoid, mind, look forward to
I'm considering moving to Alexandria.
ฉันกำลังคิดเรื่องย้ายไปอยู่อเล็กแซนเดีย (ไม่ใช่ consider to move)
He considered joining the Savior, but he didn't.
เขานั่งคิดนอนคิดว่าจะเขาร่วมกับพวกเซฟเยอร์ดีมั้ย แต่สุดท้ายก็ไม่เข้า (ไม่ใช่ consider to join)
I look forward to seeing to again.
ผมหวังว่าจะได้เจอคุณอีกนะ

Verb
ที่ต้องตามด้วย to infinitive เช่น decide, hope, refuse, arrange
He decided to leave.
เขาตัดสินใจจะไป
I hope to see you again.
หวังว่าจะได้เจอเธออีกนะ
We arranged to meet on a regular basis.
เรานัดกันมาเจอที่เดิม

ส่วน verb ที่สามารถตามด้วยทั้ง gerund และ to infinitive แต่ความหมายจะต่างกัน เช่น stop
I stopped smoking years a ago.
ฉันหยุดสูบบุหรี่มานานแล้ว
He stopped to ask the police about the direction.
เขาหยุดเพื่อที่จะถามทางตำรวจ

Exercise
1) She doesn't mind ______(work) the night shift.
2) He agreed _______(buy) a new car.
3) I look forward to _______(see) you at the weekend.
4) I can't imagine Negan ________(forget) Lucille.

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

4. Word order: What time is it?
แต่ I want to know what time it is!

ในประโยคคำถาม verb จะมาก่อนประธาน
เช่น
Who is he?
What is love?
What time is it?

แต่ในประโยคบอกเล่าประธานต้องมาก่อน verb
เช่น
I don't care who he is!
ฉันไม่สนหรอกว่าเขาเป็นใคร
I know what love is.
ฉันรู้น่าว่าความรักคืออะไร
Please tell me what time it is.
บอกผมหน่อยว่าตอนนี้กี่โมง

แต่บางทีนักออกข้อสอบเขาก็สรรหาโครงสร้างประโยคมาหลอกเรา!
เช่น Can you tell me what time it is?

เป็นคำถามก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้ถามว่ากี่โมง เขาถามว่า Can you tell me? บอกฉันได้มั้ย
ตรง What time it is จึงเรียงแบบประโยคบอกเล่า (ไม่ใช่ what time is it?)

ลองทำ exercise ดู
1) I don't know how far _______.
    a) is it
    b) it is

2) How far _______?
    a) is it
    b) it is

3) ______ good?
    a) is it
    b) it is

4) I hope ______ good.
    a) is it
    b) it is

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

5. You should better doctor.
หรือ You had better see doctor.

เวลาจะบอกว่า ฉันไปดีกว่า หรือ นายควรไปคุยกับเธอดีกว่านะ
เราจะใช้ had better นะครับ และมักจะย่อเหลือ 'd better (แม้ว่ามันฟังดูเหมือนควรจะเป็น should better ซะมากกว่า 5555)
I had better go. You had better talk to her.

แม้กฎของ perfect tense จะบอกว่า verb ที่ตามหลัง have/has/had ต้องเป็น เวิร์บช่อง 3 (past participle)
แต่ประโยคแบบนี้ถือเป็นข้อยกเว้นจ้าา

ตัวอย่างเช่น
You'd better hurry up.
นายรีบหน่อยก็ดีนะ
You had better take an umbrella. It's raining.
เธอเอาร่วมไปด้วยดีกว่านะ ฝนมันตก
We'd better go. The police will bคำอธิบาย: ยิ้ม any minute.
รีบไปดีกว่า เดี๋ยวตำรวจก็แห่มา (ที่เป็นเครื่องหมายหน้า คือคำว่า be และคำว่า here นะครับ คือพันทิปคงคิดว่าเป็นคำว่า Eเฮีย มั้ง โอ้ยน้ออ)

นอกจากนี้เราสามารถเติม not หลัง had better ก็ได้ด้วย จะแปลว่า ไม่...จะดีกว่า
หรือแปลให้เข้าใจง่าย ๆ กว่านั้นคือ ไม่ควร หรือ อย่า นั่นแหละครับ

เช่น
You'd better not miss the last train.
นายอย่าพลาดรถไฟเที่ยวสุดท้ายนะเฟ้ย
Everybody hates you so you'd better not show up at the party!
ทุกคนเขาเกลียดนายหมด ดังนั้นอย่ามาที่ปาร์ตี้จะดีกว่านะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราใช้ should ก็ห้ามมี better นะครับ
We'd better tell him the truth.
หรือ We should tell him the truth.
เลือกใช้แบบใดแบบหนึ่ง

6. Hardly ever 
หรือ Hardly never

มุกที่เจอบ่อย ๆ คือ
The boy hardly _____ wrote to his parents.
ไอ้หนุ่มนั้นแทบจะไม่เคยเขียนจดหมายมาหาพ่อแม่เลย

เราควรใช้อะไรดี? คำตอบคือ hardly ever ครับ
จำง่าย ๆ ว่า hardly ever แปลว่า almost never นั่นเอง
ส่วน hardly never นั้นไม่มีจริง!!

ตัวอย่างเพิ่มเติม
We hardly ever see Jon nowadays.
ทุกวันนี้แทบจะไม่เห็นบักจอน
They hardly ever eat out.
พวกเขาแทบจะไม่ไปกินข้าวนอกบ้านเลย

เพิ่มเติม
Hardly
เฉย ๆ จะแปลว่า นิดหน่อย หรือน้อย
เช่น
He hardly ate his breakfast.
เขากินข้าวเช้าน้อยมาก
แต่ He hardly ever eats breakfast. จะแปลว่า เขาไม่ค่อยจะกินข้าวเช้าเลย

ตรงนี้จำง่าย ๆ ว่า hardly ever แปลว่า rarely หรือ almost never
ส่วน hardly แปลว่า not much

7. Barely / Merely

สองพี่น้องนี้ก็เจอบ่อยมากก แต่จริง ๆ แล้วคนละความหมายกันเลย
Barely = almost not (
แทบจะไม่)
เช่น She barely understood what I said. เธอแทบจะไม่เข้าใจที่ฉันพูดด้วยซ้ำ (คือก็เข้าใจอยู่นิดหน่อย)
      I barely know Jon.
ฉันแทบจะไม่รู้จักจอนด้วยซ้ำ (รู้ว่าบักนี่มันชื่อจอนเฉย ๆ เด้อ แต่ไม่ได้รู้จักอะไรเลย)

ส่วน merely = only, just
เช่น She's merely a friend. เธอก็เป็นแค่เพื่อนน่าา จะไปคิดมากโว๊ะ!

คำว่า merely จะใช้เพื่อสื่อความหมายว่า ไม่มีอะไรไปกว่านั้นจริง ไม่มีอะไรแฝงอยู่จริง ๆ!
I'm not arguing with you, mom! I'm merely explaining the problem.
ผมไม่ได้เถียงครับแม่ ผมแค่แถ เอ้ย! ผมแค่อธิบายให้ฟังเฉย ๆ

จำสองตัวง่าย ๆ จากประโยคเด็ดของเซลล์แมน
It merely takes fives minutes and you barely have to do anything.
มันใช้เวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น และคุณแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยครับบ

8. Suggest you to go 
หรือ Suggest (that) you go

เวลาเราใช้ suggest หรือ recommend เราจะไม่ใช้กับ to นะครับ เราจะต่อด้วยประโยคไปเลย
เราไม่พูดว่า I suggest you to go to Paris.
ต้องพูดว่า I suggest (that) you go to Paris.

แล้วถ้าในประโยคหลัง suggest หรือ recommend มี verb to be (is/am/are) ก็ให้เป็น be นะ
ส่วน verb ปกติก็ห้ามเติม s หรือผันใด ๆ ทั้งเช่น
ตัวอย่าง
I suggest that you be here on time.
ฉันแนะนำให้นายมาให้ตรงเวลา
The doctor suggests he stop smoking.
คุณหมอแนะนำให้เขาเลิกสูบบุหรี่ (ประธานเป็น he ก็จริง แต่เวิร์บไม่ต้องเติม s)

คำว่า ask ก็เช่นกัน
Negan asked that Rick pay his tribute.
นีแกนบอกให้ริคส่งบรรณาการมาให้เขา (แม้ asked จะมาให้รูปอดีตก็จริง แต่ pay ก็ไม่ต้องผันตาม)

verb
เพิ่มเติม ทุกตัวจะแปลไปในเชิง แนะนำ สั่งให้ แทบทั้งหมดครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อซ่อนข้อความto advise
to ask
to command
to demand
to desire
to insist
to propose
to recommend
to request
to suggest
to urge



9. It is ages since I last saw you
หรือ It has been ages since I last saw you

คำตอบคือใช้ได้ทั้งสองครับ
คนอังกฤษ (ฺBritish) มักพูดแบบแรก
It's a long time since we met.
นานมาแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน
It is ages since you called me.
ชาติหนึ่งมาแล้วที่เธอไม่ได้โทรมา (อันนี้ก็จะเว่อไปนิด 555)

ในขณะที่คนอเมริกันมักพูดแบบสอง
It's been days since the shop closed. (
หลายวันแล้วที่ร้านค้าปิด)
It's been ages since we talked to each other. (
เราไม่ได้คุยกันมาชาติหนึ่งละ)

แต่เวลาใช้กับระยะเวลาที่ระบุชัดเจน มักจะใช้ it has been มากครับ
It has been five years since I met you. 5
ปีมาแล้วนะที่ไม่ได้เจอนาย

10. Make him listen
หรือ make him to listen

เวิร์บ make และ let ที่ตามด้วยกรรม (object) และตามด้วย verb ไม่ต้องมี to นะครับ
เช่น
I will make him understand!
ฉันจะทำให้เขาเข้าใจเอง! (ไม่ใช่ I will make him to understand)
Please let me go.
ปล่อยฉันไปเถอะ (ไม่ใช่ Please let me to go)
This tape will make you see the truth.
เทปนี้จะทำให้นายเห็นความจริง
The teacher won't let us leave the classroom.
คุณครูไม่ยอมปล่อยเราออกจากห้องซะที! (โคตรเซ็งนะรู้ป่ะ!!! 55555)

ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่มา: www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (Page: พ่อผมเป็นอังกฤษ)
Stay tuned.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น