วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การใช้ Present Perfect Tense

การใช้ Present Perfect Tense


Present Perfect Tense มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้
(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและต่อเนื่องมาจนถึงเวลาปัจจุบัน (คือเวลาที่พูด
ประโยคนี้ออกไป) และตามกฎการใช้ข้อที่ 1 นี้มักจะมีคําว่า since (ตั้งแต่), for (เป็น
เวลา), มาใช้ร่วมเสมอ เพื่อบ่งบอกเวลาที่เกิดขึ้นจากอดีตมาถึงปัจจุบัน เช่น :-
He has lived in America since 2500.
เขาอาศัยอยู่อเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 (ขณะที่พูดเขาก็อยู่ที่อเมริกา ยังไม่ได้กลับมา)
I have worked in this company for six years.
ฉันได้ทํางานอยู่ที่บริษัทนี้มาแล้วเป็นเวลา 6 ปี (ขณะพูดก็ยังทําอยู่ ไม่ได้ลาออก
ไปทําที่อื่น)
ถาม : since และ for ใช้ต่างกันอย่างไร?
ตอบ : since แปลว่า “ตั้งแต่” ใช้บอกเวลาเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในอดีต
มาจนถึงปัจจุบันว่า เกิดขึ้นเมื่อไร วัน เดือน ปี อะไร เป็นต้น เช่น :-
She has lived in Bangkok since 2515.
หล่อนได้มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่ พ.ศ.2515
We have studied English since January.
พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เดือน มกราคม
หรือบางครั้งอาจเป็นประโยคก็ได้ ซึ่งเรียกว่า Adverb Clause ที่มาเรียงตามหลัง
since เพื่อบ่งบอกเวลาจุดเริ่มต้น เช่น :-
He has worked hard since he left his parents.
เขาทํางานหนักตั้งแต่เขาหนีจากพ่อแม่ เป็นต้น
for ใช้สําหรับบอกช่วงเวลาอันยาวนานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอดีตมาจนถึง
ปัจจุบันว่า นานแล้วได้เท่านั้นวัน, เท่านั้นเดือน, เท่านั้นปี (แต่ไม่ได้บอกจุดเริ่มต้นของการ
กระทํา) เช่น :-
We have studied English for two months.
พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือน
He has worked in the garden for five hours.
เขาทํางานอยู่ในสวนเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว เป็นต้น
(2) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําที่ได้เคยทําในอดีต จะเป็นครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้
และการกระทําที่ว่านั้น อาจกระทําอีกในปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ (แต่ไม่ได้ทําทุกวัน
หรือทําบ่อย)และการใช้ตามกฎข้อที่ 2 นี้ มักจะมี ever (เคย), never (ไม่เคย)
นํามาใช้ร่วมเสมอ เช่น
Has he ever eaten rice at this restaurant many time ?
เขาเคยทานข้าวที่ภัตตาคารนี้หลายครั้งแล้วหรือ?
My father has never spoken English wish me.
คุณพ่อของฉันไม่เคยพูดภาษาอังกฤษกับฉัน เป็นต้น
(3) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทําที่จบลงแล้ว แต่ผลของการจบลงนั้นยังคงประทับ
จิตใจของผู้พูดอยู่ หมายความว่า ผู้พูดไม่ลืมกับการที่ได้กระทะสิ่งที่จบลงไปนั้น
เช่น:-
I have turned on the light in this room.
ผมได้ปิดไฟในห้องนี้แล้ว
(ผมจะเปิดไฟเมื่อใดไม่สําคัญ ผมต้องการจะบอกแต่เพียงว่า ผลการกระทําคือการเปิด
ไฟนั้นเปิดเสร็จไปแล้ว และขณะนี้ไฟนั้นยังสว่างอยู่ยังไม่ดับ โดยอาศัยแสงสว่างนี้
ท่านจะเล่นการพนัน ฉันข้าวเย็นหรืออ่านหนังสือก็เชิญตามสบาย)
The train has left the station.
รถไฟได้ออกจากสถานีไปแล้ว
(รถไฟได้ออกจากสถานีเมื่อใดไม่สําคัญ ข้อสําคัญอยู่ตรงที่ว่า การที่รถไฟออกไปจาก
สถานีซึ่งผมเห็นเป็นรูปขบวนยาวเหยียดแล้วนั้น ผมยังไม่ลืมยังคงประทับจิตใจผมจึง
ใช้ Present Perfect Tense พูด)
หมายเหตุ ถ้าการกระทําที่จบเสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้นไม่ประทับจิตใจเราอยู่ หรือพูด
ง่ายๆ ก็คือ ว่าจบไปแล้วก็แล้วกันไปอะไรทํานองนี้ ไม่น่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่เลย
เช่นนี้ ก็ให้พูดด้วยประโยคอดีตกาลธรรมดา (Past Simple Tense) เท่านั้นเอง
(4) ใช้กับเหตุการณ์ที่พึ่งจะจบลงไปไม่นาน ซึ่งการใช้ตามกฎข้อนี้มักจะมีคําว่า just
(พึ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), family (ในที่สุด) เป็นต้น มาร่วมอยู่ใน
ประโยคด้วยเสมอ เช่น :-
The train has just arrived at the station.
รถไฟพึ่งจะมาถึงสถานี
(หมายความว่า รถไฟเข้ามาจอดที่ชานชาลายังไม่ทันนาน เครื่องจักรยังร้อนระอุอยู่
ผมจึงใช้ประโยคนี้พูดออกมา เพื่อแสดงว่า การเข้ามายังไม่ทันนาน)
I have already opened the window.
ผมได้เปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว
(หมายความว่า ผมได้เปิดหน้าต่างไว้แล้วไม่นานก็เดินมาพบท่าน พอท่านถามว่าเปิด
หน้าต่างแล้วหรือยัง? ผมก็ตอบทันทีว่า ผมได้เปิดไว้เรียบร้อย พอเดินลงมาก็พบท่าน
พอดี แต่ความข้อนี้มิได้มุ่งเอาผลแห่งการประทับจิตประทับใจ มุ่งเพียงได้กระทําสิ่ง
นั้นแล้วไม่นาน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น