การใช้ Present Simple Tense
Present Simple Tense มีวิธีใช้กับเหตุการณ์ได้ดังต่อไปนี้
(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ เช่น :-
The earth moves round the sun.
โลกหมุนรอบรอบดวงอาทิตย์
The sun rises in the east.
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นต้น
(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงตาม คําสุภาษิต คําพังเพย สุนทรพจน์ เช่น :-
The earth moves round the sun.
โลกหมุนรอบรอบดวงอาทิตย์
The sun rises in the east.
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นต้น
(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงตาม คําสุภาษิต คําพังเพย สุนทรพจน์ เช่น :-
Negligence is the part of death.
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
Honesty is the best policy.
ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด เป็นต้น
(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหน้าที่จะพูดหรือหลังพูดไปแล้วจะ
ไม่เป็นจริงเหมือนอย่างที่พูดก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือต้องเป็นจริงในขณะที่พูด) เช่น :-
He stands under the tree.
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ (เหลียวไปดูก็ยืนอยู่จริงๆ ยังไม่ทันเดินไปไหน)
I have two books in the suitcase.
ฉันมีหนังสือ 2 เล่มอยู่ในกระเป๋า (เปิดออกมาดูก็เห็นมี 2 เล่มจริงๆ ไม่ได้โกหก)
(4) ใช้กับการกระทําที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ส่วนมากมักจะใช้กับ Verb ที่
แสดงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง) และตามกฎข้อนี้ Present Simple
Tense มีคําวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอนาคตมาร่วมได้ เช่น :-
We leave tomorrow.
พวกเราจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้
The train arrives at the station early tomorrow.
รถไฟจะมาถึงสถานีเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เป็นต้น
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
Honesty is the best policy.
ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด เป็นต้น
(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหน้าที่จะพูดหรือหลังพูดไปแล้วจะ
ไม่เป็นจริงเหมือนอย่างที่พูดก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือต้องเป็นจริงในขณะที่พูด) เช่น :-
He stands under the tree.
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ (เหลียวไปดูก็ยืนอยู่จริงๆ ยังไม่ทันเดินไปไหน)
I have two books in the suitcase.
ฉันมีหนังสือ 2 เล่มอยู่ในกระเป๋า (เปิดออกมาดูก็เห็นมี 2 เล่มจริงๆ ไม่ได้โกหก)
(4) ใช้กับการกระทําที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ส่วนมากมักจะใช้กับ Verb ที่
แสดงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง) และตามกฎข้อนี้ Present Simple
Tense มีคําวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอนาคตมาร่วมได้ เช่น :-
We leave tomorrow.
พวกเราจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้
The train arrives at the station early tomorrow.
รถไฟจะมาถึงสถานีเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เป็นต้น
(5) ใช้กับเหตุการณ์ในกรณีสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่เล่ามา แม้เหตุการณ์นั้นจะได้เกิดขึ้นแล้ว
ในอดีตก็ตาม แต่เราก็แต่งด้วยประโยค Present Simple Tense ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรื่องที่
เล่านั้นมีชีวิตชีวาเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (ส่วนมากมักใช้ในการเขียนนิยาย
เช่น :-
……Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He ask Antonio to
lend him money. Antonio says that he has not any money at the moment
Until his ships come to port…….
…….บัสสานีโอต้องการจะไปเบลมองต์ เพื่อเกี้ยวพาราสีกับนางเปอร์เชีย เขาขอยืมเงิน
กับอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนี้เข้าไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือของเขาจะเข้าเทียบ
ท่าแล้ว (เขาจึงจะมีเงินให้ยืม)……..
(6) ใช้กับเหตุการณ์ในประโยค Subordinate Clause (อนุประโยค) ที่บ่งบอกเวลาเป็น
อนาคต ซึ่งประโยคของมันเองจะขึ้นต้นด้วยคําต่อไปนี้ :-
If (ถ้า) unless (เว้นเสียแต่ว่า) as soon as (เมื่อ,ขณะที่) until (จนกระทั่ง) before
(ก่อนที่) whenever (เมื่อไหร่ก็ตาม) while (ขณะที่) เป็นต้น เช่น :-
If you come here, we will tell you about that.
ถ้าคุณมาที่นี่ เราจะบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้น
As soon as he arrives, you can leave.
เมื่อเขามาถึง ท่านก็ไปได้ เป็นต้น
ในอดีตก็ตาม แต่เราก็แต่งด้วยประโยค Present Simple Tense ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรื่องที่
เล่านั้นมีชีวิตชีวาเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (ส่วนมากมักใช้ในการเขียนนิยาย
เช่น :-
……Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He ask Antonio to
lend him money. Antonio says that he has not any money at the moment
Until his ships come to port…….
…….บัสสานีโอต้องการจะไปเบลมองต์ เพื่อเกี้ยวพาราสีกับนางเปอร์เชีย เขาขอยืมเงิน
กับอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนี้เข้าไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือของเขาจะเข้าเทียบ
ท่าแล้ว (เขาจึงจะมีเงินให้ยืม)……..
(6) ใช้กับเหตุการณ์ในประโยค Subordinate Clause (อนุประโยค) ที่บ่งบอกเวลาเป็น
อนาคต ซึ่งประโยคของมันเองจะขึ้นต้นด้วยคําต่อไปนี้ :-
If (ถ้า) unless (เว้นเสียแต่ว่า) as soon as (เมื่อ,ขณะที่) until (จนกระทั่ง) before
(ก่อนที่) whenever (เมื่อไหร่ก็ตาม) while (ขณะที่) เป็นต้น เช่น :-
If you come here, we will tell you about that.
ถ้าคุณมาที่นี่ เราจะบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้น
As soon as he arrives, you can leave.
เมื่อเขามาถึง ท่านก็ไปได้ เป็นต้น
(7) การกระทําของกริยาที่ทํานานไม่ได้ หรือกริยาที่แสดงการรับรู้ (Verb of perception)
ให้นํามาแต่งด้วย Present Simple Tense เท่านั้น เช่น :-
Sumali loves her husband very much.
สุมาลีรักสามีของเธอมาก (loves เป็นกริยาแสดงการรับรู้)
I understand what you said.
ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพุด (understand เป็นกริยาแสดงการรับรู้)
(8) ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทําเป็นประจําโดยสม่ําเสมอ หรือทําเป็นกิจวัตรโดย
มิได้ขาด ตามกฎการใช้ข้อที่ 8 นี้ Present Simple Tense มักจะมีคําวิเศษณ์
(Adverb) บอกเวลาที่เป็นความสม่ําเสมอมาร่วม ได้แก่คําต่อไปนี้ :-
always เสมอๆ
often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง
usually โดยปกติ
hardly แทบจะไม่
every day ทุกๆ วัน
every week ทุกๆ สัปดาห์
every month ทุกๆ เดือน
ให้นํามาแต่งด้วย Present Simple Tense เท่านั้น เช่น :-
Sumali loves her husband very much.
สุมาลีรักสามีของเธอมาก (loves เป็นกริยาแสดงการรับรู้)
I understand what you said.
ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพุด (understand เป็นกริยาแสดงการรับรู้)
(8) ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทําเป็นประจําโดยสม่ําเสมอ หรือทําเป็นกิจวัตรโดย
มิได้ขาด ตามกฎการใช้ข้อที่ 8 นี้ Present Simple Tense มักจะมีคําวิเศษณ์
(Adverb) บอกเวลาที่เป็นความสม่ําเสมอมาร่วม ได้แก่คําต่อไปนี้ :-
always เสมอๆ
often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง
usually โดยปกติ
hardly แทบจะไม่
every day ทุกๆ วัน
every week ทุกๆ สัปดาห์
every month ทุกๆ เดือน
once a week สัปดาห์ละครั้ง
on week days ทุกวันธรรมดา เป็นต้น
His family always go to Hong Kong.
ครอบครัวของเขาไปฮ่องกงเสมอๆ
She goes to school every day.
หล่อนไปโรงเรียนทุกๆ วัน เป็นต้น
(9) ในเหตุการณ์ของประโยค Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) ที่เป็นปัจจุบันกาล
ธรรมดา (Present Simple Tense) ประโยค Main Clause (มุขยประโยค) ต้องใช้
Present Simple Tense คล้อยตามด้วย เช่น :-
Whenever he comes here, he says hello to me.
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามาที่นี่ เขาพูดสวัสดีกับผม
Every time he sees me, he gives me a smile.
ทุกๆ ครั้งที่เขาเห็นผม เขายิ้มให้ผม เป็นต้น
on week days ทุกวันธรรมดา เป็นต้น
His family always go to Hong Kong.
ครอบครัวของเขาไปฮ่องกงเสมอๆ
She goes to school every day.
หล่อนไปโรงเรียนทุกๆ วัน เป็นต้น
(9) ในเหตุการณ์ของประโยค Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) ที่เป็นปัจจุบันกาล
ธรรมดา (Present Simple Tense) ประโยค Main Clause (มุขยประโยค) ต้องใช้
Present Simple Tense คล้อยตามด้วย เช่น :-
Whenever he comes here, he says hello to me.
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามาที่นี่ เขาพูดสวัสดีกับผม
Every time he sees me, he gives me a smile.
ทุกๆ ครั้งที่เขาเห็นผม เขายิ้มให้ผม เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น